When Hannah Met Martin

ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) กับฮันนาห์ อาเรนดท์ (Hannah Arendt) ยังอยู่ในความสนใจ หรือเป็นที่กล่าวขานถึงกันอยู่ในทุกวันนี้ ด้วยเพราะส่วนหนึ่ง มันเป็นรักต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ หญิงสาวกับชายผู้แต่งงานแล้ว และเป็นเรื่องราวความรักของนักปรัชญาสองคน (แม้คนหนึ่งจะเรียกตนเองว่านักทฤษฎีการเมืองก็ตาม) ซึ่งแต่ละคนต้องเรียกว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ความคิดของศตวรรษที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นเมื่อครั้งที่ไฮเดกเกอร์ยังเป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยมาร์บวร์ก เขามีอายุได้ 36 ปี ผมดำคลับ ผิวเข้ม รูปร่างสันทัดสมส่วนจากการเป็นนักเล่นสกีและกีฬาปีนเขา เป็นสามีและพ่อของลูกอีกสองคน

แม้ว่าตอนนั้นไฮเดกเกอร์จะยังไม่ตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญ Sein und Zeit แต่ชื่อเสียงของไฮเดกเกอร์นั้นต้องนับว่าโด่งดังในแวดวงวิชาการ และโดยเฉพาะในหมู่นักเรียนนักศึกษาก่อนแล้ว บรรยายวิชาของไฮเดกเกอร์จึงมักจะเนืองแน่นด้วยผู้เข้าฟังอยู่เสมอ จนดูราวกับเป็นป็อปสตาร์แห่งวงการปรัชญาก็ว่าได้

อาเรนทด์ ณ ตอนนั้นยังเป็นดรุณีในวัย 18 ปี ผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แม้ภายนอกเธอจะดูเป็นคนขี้อาย ขาดความมั่นใจ แต่ภายในเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ผู้ใดได้พบเห็นมักจะตกหลุมรักเธอง่ายๆ อาเรนดท์เชี่ยวชาญภาษากรีกและละติน เมื่อได้ยินว่าที่มหาวิทยาลัยมาร์บวร์กมีอาจารย์สอนปรัชญานามว่า มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ผู้โด่งดังประจำอยู่ เธอกับเพื่อนๆ จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่นั่น

ไฮเดกเกอร์จดจำอาเรนดท์ได้ตั้งแต่คาบแรกที่เธอเข้าฟังบรรยายเรื่อง Sophist ของเพลโต (Plato) เขาได้ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านบทกวี November 1924 ที่เขาเขียนไว้ใน 25 ปีต่อมา (เหตุที่เขากลับมาเขียนนั้น ผูกพันกับการได้กลับมาพบกันของทั้งสอง หลังจากห่างหายกันไปนานร่วมสองทศวรรษ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป)

จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1925 ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อไฮเดกเกอร์ได้ส่งข้อความ (ที่สมัยก่อนนั้นมักเรียกกันว่า ‘จดหมายน้อย’) ไปหาอาเรนดท์ โดยมีใจความว่า

ถึงคุณอาเรนดท์ !

ผมจำเป็นต้องพบคุณในค่ำวันนี้ และกล่าวความในใจแก่คุณ ทุกสิ่งควรจะเป็นเรื่องเรียบง่าย ชัดแจ้ง และจริงใจระหว่างเรา หากแม้เพียงแต่เราอนุญาตให้เราทั้งสองได้พบปะกัน แน่นอนว่า คุณเป็นลูกศิษย์ และผมเป็นอาจารย์ เพียงแต่นี่เป็นเหตุเฉพาะกาลที่บังเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมคงไม่อาจเรียกได้ว่าคุณเป็นของผม แต่นับจากนี้ไป คุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม และสิ่งนี้จะเติบโตขึ้นไปพร้อมกับคุณ

เราย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้ในสิ่งที่เราจะกลายเป็นสำหรับผู้อื่นผ่านการมีอยู่เป็นอยู่ของเรา

ภายหลังจากนั้นเพียงแค่ 4 วัน ข้อความที่ไฮเดกเกอร์ส่งไปถึงอาเรนดท์ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นจากเดิม ด้วยการเปลี่ยนจากคำเรียกว่า ‘ถึงคุณอาเรนดท์’ เป็น ‘ฮันนาห์ที่รัก!’ ไฮเดกเกอร์ได้บรรยายถึงความรู้สึกที่เต็มล้นไว้ในจดหมายอีกหลายฉบับหลังจากนั้น เช่น

...ระหว่างทางกลับบ้าน ท่ามกลางสายฝนพรำ เธอดูสดสวยยิ่งกว่า งดงามอย่างที่สุด ฉันอยากจะท่องไปกับเธอจนสุดสิ้นรัตติกาล

หรือในอีกฉบับหนึ่งที่ว่า

ฮันนาห์ที่รัก!

ทำไมรักถึงรุ่มรวยเหนือประสบการณ์ทั้งหลายที่เป็นไปได้ของมนุษย์และยังเป็นภาระอ่อนหวานที่เราต้องการไขว่คว้าให้ได้มา นั่นก็เพราะเราได้กลายเป็นสิ่งที่เรารักและยังคงความเป็นตัวเราเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องการตอบแทนผู้เป็นที่รัก แต่มักไม่อาจหาสิ่งใดที่เทียบเทียมได้

ทว่าเราสามารถตอบแทนรักได้ด้วยตัวเราเอง ความรักเปลี่ยนความรู้สึกขอบคุณนั้นไปเป็นความจงรักภักดีต่อตัวตนของเราและความศรัทธาอย่างไม่มีเงื่อนไขในตัวอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ความรักจึงเข้มข้นรุนแรงในความลับอย่างที่สุดของมัน (...) เป็นชะตากำหนดของมนุษย์คนหนึ่งที่ส่งมอบต่อให้ชะตากำหนดของมนุษย์อีกคนหนึ่ง และหน้าที่ของความรักอันบริสุทธิ์นั้นก็คือการทำให้การส่งมอบคงมีชีวิตชีวาต่อไปเหมือนเช่นวันแรกที่มันเกิดขึ้น

นับจากนั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ศิษย์อาจารย์’ ก็ได้ ‘กลายเป็น’ ความสัมพันธ์แบบ ‘คนรัก’ แต่ก็เป็นความรักใน ‘ความลับ’ ที่ภรรยาของไฮเดกเกอร์ และผู้คนในสังคมเล็กๆ ของมาร์บวร์กมิได้ล่วงรู้ได้!

การพบกันของทั้งสองจึงมักต้องเกิดขึ้นในที่ลับตา ไม่ว่าจะในห้องใต้หลังคาของอาเรนดท์ หรือห้องพักอาจารย์ของไฮเดกเกอร์ยามร้างไร้ผู้คน โดยเขามักจะส่งข้อความลงรหัสไปให้กับเธอ เพื่อนัดหมายเวลาและสถานที่ล่วงหน้าเพียงไม่นาน

ในด้านหนึ่ง นี่คือ ‘รักต้องห้าม’ ที่เกิดจากตัณหาและอารมณ์ที่ไม่มีใครควบคุมได้ (หรือทำได้ก็คงไม่อยากจะควบคุม) หากในอีกทาง ก็เป็นความรักระหว่างนักปรัชญากับ ผู้หลงใหลในวิชาความรู้

อาเรนดท์เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ไม่กี่คนของไฮเดกเกอร์ที่สามารถติดตามความคิดอันสลับซับซ้อนได้ทัน ทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยน และสร้างบทสนทนาที่ทำให้ปรัชญาของเขาลึกซึ้ง และแยบยลยิ่งขึ้น ในขณะที่อาเรนดท์เองนั้นมองเห็นไฮเดกเกอร์เป็นทั้งชายคนรักและนักปรัชญาที่นำพาความรู้และปัญญามาสู่ตัวเธอ เติบโตและขับขยายไปพร้อมๆ กับชีวิต เหมือนดังจดหมายฉบับแรกที่เขารจนาไว้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 1925 ไฮเดกเกอร์ได้พบปะและแม้กระทั่งเขียนจดหมายติดต่อกับอาเรนดท์น้อยลงเรื่อยๆ ความห่างเหินนั้นทำให้ในช่วงเดือนมกราคมปี 1926 อาเรนดท์ตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อบอกเลิกความสัมพันธ์

จดหมายฉบับนั้น (ซึ่งปัจจุบันสูญหายไปแล้ว) ทำให้ไฮเดกเกอร์เสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาเขียนตอบกลับไปว่า “ฉันเข้าใจดี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันยอมรับมันได้ง่ายๆ แต่อย่างใด และยิ่งไม่ง่ายเลย เมื่อฉันรู้ว่าความรักของฉันนั้นยังเรียกร้องต้องการเธอ”

ความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่มีสิ่งใดเยียวยาได้นอกจากความรักทำให้ไฮเดกเกอร์แนะนำให้อาเรนดท์ไปศึกษาต่อกับ คาร์ล แยสเปอร์ (Karl Jasper) เพื่อนสนิทของเขา ผู้เป็นทั้งนักปรัชญาและนักจิตวิทยาชื่อดังชาวสวิสที่ประจำอยู่ที่มหาวิทยาไฮเดิลแบร์ก

อาเรนดท์รู้สึกว่านี่เป็นการผลักไสเธอให้พ้นไปจากเขากลายๆ การบอกเลิกอาจไม่ได้แปลว่า เธอไม่รักเขา หรือไม่เจ็บปวดหากจะไม่ได้พบกันอีก

ทั้งคู่เลยยังคงความสัมพันธ์ลับๆ ต่อไป!

ในเดือนกรกฎาคม 1926 ไฮเดกเกอร์เดินทางยังสวิตเซอร์แลนด์ เขาตั้งใจจะนัดพบกับอาเรนดท์ที่สถานีรถไฟในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งระหว่างจุดหยุดพัก เพียงแต่นัดดังกล่าวก็เป็นเพียงการพบกันนานๆ ครั้ง หรือกล่าวได้ว่า การติดต่อพูดคุยระหว่างทั้งสองค่อยๆ ห่างหาย หรือน้อยลงไปเรื่อยๆ จนอาเรนดท์ตระหนักรับรู้ได้ว่าไฮเดกเกอร์นั้นเริ่มจะหมดรักในตัวเธอ

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น จดหมายที่เธอส่งไปหาเขาในห้วงเวลาดังกล่าว ยังคงแสดงให้ถึงความอ่อนหวานในความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย

ดังเช่นจดหมายที่เธอเขียนไปหาเขาตอนกลางเดือนเมษายนปี 1928 หรือภายหลังจากได้ทราบว่าเขาเข้ารับตำแหน่งประจำภาควิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลับฟรายบวร์ก จากการสนับสนุนของอาจารย์และเพื่อนนักปรัชญาชาวยิวคนสำคัญ เอ็ดมุนด์ ฮุสเซิร์ล (Edmund Husserl) เนื้อความในจดหมายมีว่า

…เธอไม่สามารถมาเจอฉันในตอนนี้ได้—ฉันคิดว่าฉันเข้าใจดี

ฉันรักเธอ (ตั้งแต่) ในวันแรก เธอรู้ และฉันก็รู้ความจริงนี้เสมอมา... และหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า/ฉันจะรักเธอมากได้ยิ่งกว่าเมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว

ในช่วงระหว่างปี 1932-33 อาเรนดท์ได้จดหมายไปหาไฮเดกเกอร์เพื่อไต่ถามความจริงในเรื่องที่หลายคนร่ำลือกันว่า เขากำลังกลายเป็นพวกต่อต้านยิว (Anti-Samitic) นั่นเป็นจดหมายฉบับท้ายๆ ก่อนที่โชคชะตาจะพัดพาให้เขาและเธอดำเนินชีวิตไปคนละเส้นทาง

ไฮเดกเกอร์ตอบเธอด้วยท่าทีแบบไม่ยอมรับหรือปฏิเสธว่าเขาถูกกล่าวหาในเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นอาจารย์ที่มาร์บวร์ก และเขาได้ยืนยันในตอนท้ายจดหมายว่า ไม่ว่าอย่างไร ย่อมจะไม่มีอะไรกระทบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ

แน่นอนว่า สิ่งที่ไฮเดกเกอร์บอกกล่าวในจดหมายนั้น ไกลห่างจากสิ่งที่เขากระทำ เพราะภายหลังจากนั้นไม่นาน ไฮเดกเกอร์ก็สมัครเข้าพรรคนาซีในปี 1933 ก่อนก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งอธิการบดี (Rektor) ที่มหาวิทยาลัยฟรายบวร์ก และเริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างมหาวิทยาลัยไปตามดำริของท่านผู้นำ (Fürher)

ในการบรรยาย หรือปาฐกถาของเขาในต่างกรรมต่างวาระ ไฮเดกเกอร์มักจะลงท้ายด้วย “Heil Hitler!” หรือ “Seig Heil!” อยู่เสมอๆ เขาทำหน้าที่เป็นฟันเฟือง หรือฝีจักรให้กับพรรคเป็นอย่างดี เพราะหลังจากรับตำแหน่งอธิการได้ไม่นาน เขาก็สั่งยกเลิกภาควิชายิวศึกษา เขาใช้อำนาจบริหารในการกีดกันนักศึกษา หรือกระทั่งปลดอาจารย์ที่มีเชื้อสายยิวออกจากตำแหน่ง

กรณีที่อื้อฉาวที่สุดก็คือไฮเดกเกอร์ลบชื่อของฮุสเซิร์ลออกจากคำอุทิศในหนังสือ Sein und Zeit แต่ไม่เพียงเท่านั้นเขายังสั่งถอดถอนฮุสเซิร์ล (ผู้ผลักดันให้เขาได้ประจำภาควิชาปรัชญาที่ฟรายบวร์ก) ออกจากตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติคุณ ซึ่งฮุสเซิร์ลจะไม่รู้สึกอะไรเลย หากคำสั่งนั้นเป็นใครก็ได้ภายใต้ระบอบเผด็จการนาซี แต่เมื่อได้เห็นลายเซ็นเป็นชื่อของไฮเดกเกอร์แล้วมันแทบจะเทียบเท่าได้กับกระสุนที่ยิงตรงเข้าไปยังขั้วหัวใจ

คาร์ล แยสเปอร์ เป็นมิตรสหายใกล้ชิดของเขาอีกคนที่สุดท้ายต้องแตกหักกับไฮเดกเกอร์ หรือถูกตัดขาดความสัมพันธ์เพียงเพราะภรรยาของเขาเป็นยิว

ตรงกันข้ามกับชะตาที่ชีวิตที่เหมือนจะรุ่งโรจน์ของไฮเดกเกอร์ อาเรนดท์ต้องอพยพหนีไปพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1932 ชะตาชีวิตอันไม่แน่นอนและเสี่ยงอันตรายในฐานะของชาวยิวทำให้เธอได้พบรักกับสามีคนแรก ไฮน์ริค บลือเชอร์ (Heinrich Blücher) นักกิจกรรมฝ่ายซ้ายชาวเยอรมัน และด้วยเพราะความโชคดีในความโชคร้ายทำให้อาเรนดท์เป็นเพียงชาวยิวหนึ่งในจำนวนน้อยนิดที่ได้อพยพไปอเมริกา

แม้ไฮเดกเกอร์จะลาออกจากตำแหน่งอธิการภายหลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียงไม่กี่ปี แต่เขาก็ไม่เคยลาออกจากสมาชิกพรรคนาซี และยังคงเป็นสมาชิกไปจนกระทั่งปี 1945 หรือสงครามสิ้นสุดลง นั่นอาจเป็นเป็นเหตุผลให้เขาไม่ไปร่วมพิธีศพของฮุสเซิร์ลในปี 1938

ความเป็นนาซีของไฮเดกเกอร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนจากการกระทำหลายอย่าง จนแม้เมื่อสิ้นสุดสงครามไปแล้วก็ยังไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่เขาจะแสดงความเสียใจ หรือรู้สึกสำนึกผิดกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ผู้ศึกษาประวัติชีวิตและผลงานของไฮเดกเกอร์หลายคนเชื่อด้วยซ้ำว่าไฮเดกเกอร์มีความคิดแบบนาซีตั้งแต่ก่อนสมัครเข้าพรรคนาซี และลึกๆ แล้วเขาอาจมีความคิดว่าเขาเป็นนาซีได้ยิ่งกว่าสิ่งที่นาซีประพฤติปฏิบัติกันอยู่

ภายหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เยอรมันและกองกำลังฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาเรนดท์ได้กลายเป็นนักทฤษฎีการเมืองผู้โด่งดังในสหรัฐอเมริกา ส่วนไฮเดกเกอร์ที่ได้รับผลกระทบจากการถอดรื้อความเป็นนาซี (Denazification) ถูกจำกัดและควบคุมกิจกรรมการสอน ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งในปี 1949 ในตอนที่อาเรนดท์เดินทางมายังยุโรป

ทั้งคู่เขียนจดหมายโต้ตอบเรื่อยมาหลังจากนั้นจนถึงปี 53 แต่หลังจากนั้นทั้งไฮเดกเกอร์และอาเรนดท์ก็แทบจะไม่ได้ติดต่อ หรือพบกันอีกเลย

ในบั้นปลายของชีวิต อาเรนดท์ได้เขียนข้อความหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดคำนึงที่มีต่อชายผู้เคยเป็นรักของเธอ ที่อาจยังคงอยู่เช่นนั้นในใจเรื่อยมา

การให้อภัยและความสัมพันธ์ที่มันสร้างขึ้นนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่เสมอ (ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของปัจเจก หรือเอกชน) เป็นความผูกพันซึ่ง อะไร ที่ถูกกระทำไปแล้วได้รับการให้อภัยเพื่อ ใคร ที่เป็นผู้ทำ...สำหรับความรัก แม้ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดได้ไม่บ่อยนักในชีวิตของมนุษย์...ก็อาจทำให้มองข้ามไปจนสู่จุดที่แทบแลไม่เห็นโดยสมบูรณ์ใน อะไร ที่คนที่เรารักอาจจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ และความบกพร่อง... ความสำเร็จ ความล้มเหลว และการละเมิดกฎเกณฑ์ต่างๆ

ข้อความนี้บ่งชี้ว่า ไม่ว่าในสายตาของคนทั้งโลกจะเป็นอย่างไร หากไฮเดกเกอร์ในมุมมองของเธอแล้ว เขาคือคนที่เธอพร้อมจะอภัยให้ได้เสมอ

อาเรนดท์อำลาจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 69 ปี ข่าวการเสียชีวิตของเธอเดินทางไปถึงไฮเดกเกอร์ซึ่งภายหลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็เสียชีวิตลงด้วยวัย 86 ปี

 

อ้างอิง

- Letters, 1925-1975 / Hannah Arendt and Martin Heidegger, edited by Ursula Ludz, translated by Andrew Shields, (Orlando: Harcourt, 2004).
- Daniel Maier-Katkin and Birgit Maier-Katkin. “Love and Reconciliation: The Case of Hannah Arendt and Martin Heidegger.” Harvard Review, no. 32 (2007): 34-48. Accessed February 11, 2021. http://www.jstor.org/stable/27569287.

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods