Tristram Shandy

The Life and Opinions of Tristram Shandy, Gentleman (1759-1767) ของ Laurence Sterne นักเขียนอังกฤษ-ไอริชจากศตวรรษที่ 18 สามารถเรียกได้ว่าเป็นนวนิยายแห่งนวนิยาย และกำเนิดของนวนิยายเฉกเช่นเดียวกับ Don Quixote ของ Cervantes และในอีกแง่ มันยังคงเป็นผลงานที่คงความสดใหม่ได้อย่างเหลือเชื่อ
Tristram Shandy ได้ให้อิทธิพลทางตรงและอ้อมต่อทั้ง Denis Diderot, Xavier de Maistre, Machado de Asis จนถึงนักเขียนร่วมสมัยอีกมากมาย โดยเฉพาะการใช้เทคนิค ‘พูดนอกเรื่อง’ การทำลายกำแพงระหว่าง ‘ตัวบท’ กับ ‘ผู้อ่าน’ โดยการดึงผู้อ่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของนวนิยาย
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนวนิยายมีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่ Tristram Shandy ก็ถูกวิจารณ์ว่าเนื้อหาในเล่มมาจากการคัดลอกผลงานของของนักเขียนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Robert Burton หรือ John Locke และถ้าหากตรวจวัดผลงานโดยละเอียด Tristram Shandy อาจมีความเป็น original text อยู่ไม่ถึง 70%
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบง่ายๆ การเขียนและการคัดลอก (ทั้งโดยอ้างอิงและไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา) เป็นสิ่งที่ปรากฏโดยทั่วไป ประพันธกร (Author) เป็นได้ทั้งผู้เขียน ผู้รวบรวมคัดลอก และผู้นำผลงานมาพิมพ์
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ Johanes Boemus นักมนุษยนิยม (Humanism) จากศตวรรษที่ 16 เขาเรียกการคัดลอกตำราและเรียบเรียงว่า “การประพันธ์” แน่นอนว่า ไม่มีใครคัดค้าน สงสัย หรือตีเป็นการขโมยความคิด
Omnium gentium mores, leges et ritus หรือ The Custom, Law and Rituals of All Peoples ของ Boemus อาจมีหรือแทบไม่มีข้อเขียนของเขาเลย แต่เทคนิคการประพันธ์ในเวลานั้นก็คือ การแปล คัดลอก เรียบเรียง โดยไม่มีใครทวงถามเรื่อง ‘ความเป็นต้นแบบ’ เหมือนเช่นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม Tristram Shandy ได้ถือกำเนิดขึ้นในห้วงเวลาไล่เลี่ยกับแนวคิดเรื่อง genius หรือ ‘ความเป็นบุคคลพิเศษ’ ที่เชื่อว่ามีความแตกต่างจากคนทั่วไป เมื่อความคิดนี้ผนวกเข้ากับการงานศิลปะและวรรณกรรม การเป็นศิลปิน หรือนักประพันธ์ที่มีความเป็นอัจฉริยะ ก็จะต้องสะท้อนผ่าน ‘ผลงาน’ และ ‘ตัวบท’ ที่ ‘ไม่มีใครเหมือน’ หรือ ‘ลอกเลียน’ มิได้ Tristram Shandy ต้องนับว่าตั้งวางอยู่บนทางแพร่ง หรือรอยแตกแยก (disruption) ทางความคิดของห้วงเวลานั้นที่การเขียน การประพันธ์จะไม่สามารถใช้การตัดแปะคัดลอกเอาจากตัวบทต่างๆ ที่มีมาก่อนหน้ามาเป็นงานของเราได้อย่างสะดวกดายอีกแล้ว
แต่หากเรามองโดยภาพรวม ‘ความเป็นต้นแบบ’ ก็เป็นเพียงสิ่งประกอบสร้างของความคาดหวังในความบริสุทธิ์ ไม่เจือปนผลงาน หรือความคิดใดๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะการประพันธ์คือนำสิ่งที่มีอยู่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่เราใช้ร่วมกัน ความรู้ที่ไม่มีใครสามารถครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว มาบอกเล่า หรือถ่ายทอดเป็นเรื่องราว และควรเป็นเช่นนั้น หากเราเชื่อว่า การเขียนเป็นหนทางหนึ่งในการนำเสนอเรื่องราวและความคิดต่างๆ ไปสู่ ‘ผู้อื่น’
ถ้าเรามองในภาพกว้าง หรือประวัติศาสตร์ของการเขียน ‘ความเป็นต้นแบบ’ จึงเรียกได้ว่าเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่ไม่ใช่ ’คุณค่า’ โดยแท้จริงของการสร้างสรรค์
ตรงนี้เองที่ Tristram Shandy ถือเป็นหลักบอกเขต หรือจุดสิ้นสุดของการตัดต่อ-คัดลอกแบบ และเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ความเป็นต้นแบบ’
ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า Tristram Shandy ได้มีการใช้เทคนิคการจัดวาง (แบบอักษร+เรขศิลป์) อย่างที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นยิ่งกว่านวนิยายเรื่องใดๆ ซึ่งแม้จะเป็นไปเพื่อความบันเทิง หรือเชิงยั่วอารมณ์ผู้อ่าน แต่ก็นับว่าเป็น ‘สิ่งแปลกใหม่’ และท้าทายวัฒนธรรมทางสายตาและการรับรู้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และแม้เมื่อพิจารณาจากสายตาของเรา ณ ปัจจุบัน ผลงานชิ้นนี้ของ Laurence Sterne ก็เรียกได้ว่าคงทนและท้าทายการเวลา หรือไม่เสื่อมคลายเสน่ห์
• • •