Pierre or The Ambiguities

หนังสือบางเล่มเขียนขึ้นมาเสร็จก็เชยตกยุคไป แต่กับบางเล่มกาลเวลาก็โค่นลงไม่ได้ง่ายๆ และยังคงถูกอ่าน อ่านใหม่ และพบความน่าสนใจอยู่เสมอๆ และถ้ายึดตามคำนิยามของ Italo Calvino งานคลาสสิกคือผลงานที่ไม่เราไม่เคยอ่านจบ เพราะเรามักต้องหยิบขึ้นมาอ่านใหม่ชั่วชีวิตเรา
กรณีของ Pierre or The Ambiguities (1852) ของ Herman Melville น่าจะจัดเป็นผลงานคลาสสิคที่มีความพิลึกพิสดารอยู่สักหน่อย มันเป็นนวนิยายเรื่องถัดจาก Moby-Dick (1851) ที่ว่ากันเป็นวรรณกรรม ‘เฮี้ยน’ หลุดโลก แต่สำหรับ Pierre กลับ ‘เฮี้ยน’ ยิ่งกว่า และครั้นเมื่อได้รับการตีพิมพ์ออกมาหนแรก (ด้วยความเกรงใจหรืออะไรก็ตาม) มันก็แทบขายไม่ออก และไม่ได้พิมพ์ซ้ำ เหมือนงานยุคต้นที่เป็นแนวผจญภัยทางทะเลของ Melville
ถึงแม้ Pierre จะไม่ได้มีฉากล่องนาวาท่องมหาสมุทร แต่นักวิจารณ์ รวมถึงคนที่ได้อ่านตอนนั้นย่อมรู้สึกได้ว่า Melville ได้พานวนิยายของเขา “ออกทะเล” ไปไกล ทั้งรูปแบบการเขียน บทสนทนา และบทบรรยายอันยืดยาวคดเคี้ยวเลี้ยวลด แบบไม่ง้อคนอ่าน ไม่สนใจความสมจริงใดๆ อีกแล้ว
จากสภาพการณ์นี้ Pierre น่าจะเข้าข่ายหนังสือสาบสูญ ที่ไม่มีใครอยากอ่าน อยากพูดถึง แต่สุดท้ายก็มันก็ถูกค้นพบใหม่อีกครั้งก็เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อมีนักวรรณคดีศึกษาพากันกลับไปอ่าน และกอบกู้ผลงานของ Melville กลับมาจากแอ่งอารยธรรมแห่งความหลงลืม ผลจากความพยายามนั้นทำให้ได้มีการรวบรวม จัดพิมพ์ผลงานของเขาใหม่อีกคำรบ และได้ขุดเอาซากวรรณกรรมที่ชื่อ Pierre or The Ambiguities ในก้นหลุมกลับมาสู่บรรณพิภพอีกครั้ง
Pierre or the Ambiguities ถูกเขียนให้เป็นนวนิยายโกธิก ที่หล่อเลี้ยงด้วยเรื่องราวและบรรยากาศอวลอายความลึกลับ ผสมผสานเรื่องรักอันเป็นโศกนาฏกรรม เพียงแต่ Melville อาจจะมือหนักไปสักหน่อยแลยทำให้มันดูคล้ายวรรณกรรมทดลองอว็อง-การ์ด (Avant-Garde) หรือล้อเลียน (Parody) แนวโกธิกเสียมากกว่า
แม้เราจะทราบว่า เค้าโครงเรื่องราวทั้งนั้นเกี่ยวพันกับนักประพันธ์หนุ่ม ปิแยร์ เกลนดินนิ่ง ผู้กำลังเบิกบานกับชีวิตวัยเยาว์ ความรักอ่อนหวานกับลูซี ผู้เป็นแสงสว่าง แต่การณ์กลับเป็นว่า หนุ่มน้อยปิแยร์กลับถูกปริศนาเกี่ยวกับหญิงลึกลับ (ที่ปรากฏตัวขึ้นให้เขาเห็นในวันหนึ่ง) ชักพาออกไปนอกเส้นทางชีวิตปกติ จนเขาได้พบว่า หญิงลึกลับคนนั้น ผู้มีนามว่า อิซาเบล คือพี่น้องต่างมารดาของเขา แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปสู่จุดที่ผู้อ่านกังขาความสัมพันธ์ระหว่างปิแยร์กับแม่ ที่ชอบเรียกลูกว่า ‘น้องชาย’ (และปิแยร์ก็เรียกแม่ว่า ‘พี่สาว’) เลยเถิดไปจนถึงการที่เขารับเอาอิซาเบล มาเป็นเมีย และกินอยู่ร่วมกันสามผัวเมีย เขา-อิซาเบล-ลูซี ที่สถานพำนักศิลปิน นักปรัชญา นักปฏิวัติ ที่ชื่อ The Apostles หรือ ‘อัครสาวกสถาน’ จนก่อเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุด
แต่ไม่ว่าใครจะตำหนิ หรือด่าทอในเรื่องความเยิ่นเย้อ ขาดความสมจริงในคำพูด และบทสนทนาต่างๆ อย่างไร แต่สิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ก็คือ ความห้าวหาญไม่แคร์ใครที่ Melville จะใช้เรื่องราวต่างๆ ใน Pierre แสดงเทคนิคทางวรรณกรรม การก้าวข้ามจากเสียงของพระเจ้าไปสู่บุคคล จากบุคคลไปสู่ตัวละคร จากตัวละครกลับไปเป็นพระเจ้า จนถ้าเราอ่านไม่ดี เราจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘ข้าพเจ้า’ ที่โผล่มานั้นเป็นใคร หรือเทคนิคเร่งเวลา (time-laspe) ผ่านถ้อยคำในฉากที่เขาให้ปิแยร์นั่งอยู่ในห้องตั้งแต่ช่วงอิสเตอร์ ผ่านคริสต์มาส จนไปถึงปีใหม่ ภายในหนึ่งย่อหน้า
ไม่เพียงเท่านั้น Melville ยังใช้วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงปาฐกถาทางปรัชญาในเรื่องต่างๆ แทรกแซมไว้ตลอดทั้งเรื่อง (ทั้งผ่านปากตัวละครเอก นักเขียนลึกลับผู้มีนามว่า โพลตินัส พลินลิมมอน หรือตัวของ Melville) ซึ่งหลายประเด็นยังคงน่าฉงนใจ และชวนให้ขบคิด แม้จะผ่านไปร่วมสองร้อยปีแล้วก็ตาม เช่นเรื่องของนักเขียนกับผลงาน การเขียนกับวิชาชีพที่ปรากฏในส่วนท้ายของเล่ม
Melville ได้ชี้ให้เราเห็นว่า ปิแยร์นั้นเขียนหนังสือสองเล่มไปพร้อมๆ กัน เล่มหนึ่งสำเร็จได้ด้วยหมึก อีกเล่มสำเร็จได้ด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเขา เล่มหนึ่งเป็นเล่มที่จะปรากฏแก่สายตานักอ่าน อีกเล่มถูกเก็บไว้บนชั้นวางลึกลับที่ไม่มีใครเห็น หากการเขียนคือการสร้างสรรค์ หนังสือ/ผลงานที่ตีพิมพ์อาจเป็นเพียงหลักฐานทางวรรณกรรมด้านเดียวของนักเขียน
ส่วนตัวผู้เขียนรีวิว ในฐานะผู้อ่าน ไม่มีอะไรจะไปตำหนิติติงงานสุดประหลาดเล่มนี้ได้ ไม่ใช่เพราะมันสมบูรณ์ หรือเป็นวรรณกรรมชิ้นเอก แต่เพราะมันขาดพร่องและเต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นต่างหาก ที่ทำให้เห็นเป็นเสน่ห์ และมีคุณค่าให้เรากลับไปอ่านไปค้นหาอยู่เรื่อยไป
• • •