Physiology of Love

กายภาพของความรัก
เคยสงสัยหรือไม่ว่าความรักของเราเริ่มต้นขึ้นอย่างไร เมื่อไหร่ที่เราเรียกว่า เรามีความรัก หรือเริ่มต้นตกหลุมรักใครสักคน ความรักของเรามีจุดกำเนิดอย่างไร และมันสิ้นสุดลงตรงไหน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากถึงยากที่สุดที่เราจะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวแม้กระทั่งปัจจุบัน แต่ครั้นเมื่อย้อนกลับไปเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 หรือในปี 1822 มารี-อ็องรี แบ็ล (Marie-Henri Beyle) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้ใช้นามปากกาว่า สต็องดาล (Stendhal) ได้พยายามค้นคว้าว่า ความรักก่อตัวขึ้นในใจเราได้อย่างไร โดยเขาได้เขียนและจัดพิมพ์แนวคิดนี้ไว้ในผลงานที่มีชื่อว่า De L'Amour หรือ On Love ภายหลังจากถูกสุภาพสตรีผู้หนึ่งปฏิเสธรัก
สต็องดาลได้กล่าวไว้ในคำนำสำหรับการพิมพ์ครั้งแรกว่า หนังสือของเขาได้อธิบายความรัก “ไว้อย่างเรียบง่าย สมเหตุสมผล และมีความเป็นคณิตศาสตร์” ซึ่งเขาเห็นว่าปรากฏการณ์นี้มีสีสันอารมณ์แตกต่างกันไป และอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1) ความรักอย่างสุดจิตสุดใจ (Passion-love) เป็นความรักอย่างหมดหัวใจ แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ คืนกลับมา สต็องดาลได้ยกเอากรณีของนางชีชาวโปรตุเกส (ซึ่งจดหมายที่เขียนถึงชายคนรักของเธอถูกนำมาตีพิมพ์จนกลายเป็นหนังสือขายดี) ความรักของเอลัวอิส (Héloïse) ที่มีให้อเบลารด์ (Abelard) จนกลายเป็นตำนานโด่งดังของยุคกลาง
2) ความรักแบบจารีตนิยม (Mannered love) เปรียบเหมือนการแสดงออกทางสังคมรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสต็องดาลเห็นว่าเป็นความรักชนิดที่แพร่หลายในสังคมฝรั่งเศสนับจากปี 1760 เป็นต้นมา ความรักประเภทนี้จะพัฒนาไปสู่ความรักแท้ได้ยาก เพราะวางอยู่บนฐานของการคิดคำนวณถึงประโยชน์มากกว่าความรู้สึก
3) ความรักทางกายภาพ (Physical love) ความปรารถทางร่างกายที่เปลี่ยนแปลงให้เรากลายเป็นเหมือนผู้ล่า เป็นความสดใหม่ทางความรู้สึก เปรียบได้ดั่งหนุ่มสาววัยกำดัดที่ต้องการความสุขสมทางเพศรส
4) ความรักเพื่อแสดงความเหนือกว่า (Vanity-love) ความรักที่ต้องช่วงชิงแก่งแย่งมา เปรียบได้เหมือนการครอบครองม้า หรือสิ่งของมีค่าที่ใครต่างก็ปรารถนา ความรักเช่นนี้อาจจะก่อเกิดความสุขได้ก็เมื่อนำพาเราไปสู่ความรักเชิงกายภาพ แต่ความสุขนั้นก็จะค่อยๆ หายไปเมื่อมันกลายเป็นความเคยชิน
การจัดประเภทดังกล่าวแม้จะฟังดูปร่าแปร่งและอาจไม่สอดคล้องกับการจัดจำแนกความรักที่เราหลายคนรู้จัก ซึ่งสต็องดาลเองก็รู้ดีและได้ให้หมายเหตุไว้ แต่สิ่งที่น่าสนใจ หรือเป็นแนวคิดสำคัญของเขาก็คือกระบวนการก่อเกิดความรักที่เรียกเขาว่า crystallization หรือ ‘การก่อรูปอุดมคติ’
สำหรับสต็องดาล ความรักต้องอาศัยเวลาและการกลายรูปของอารมณ์รวมถึงความคิดต่างๆ ในความรักคนรักจะค้นพบความสมบูรณ์ในอีกฝ่าย หรือกล่าวได้ว่า ความรักเกี่ยวโยงกับภาพในความคิดของเรา ความรักทำให้เรามองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนรัก ซึ่งทั้งหมดมาจากกระบวนการที่เขาเรียกว่า ‘การก่อรูปอุดมคติ’ ที่เริ่มต้นขึ้นจาก
ขั้นแรก เราเกิดความนิยมชมชอบใครสักคน จากสิ่งที่เป็นภาพปรากฏ หรือสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจเรา
ขั้นที่สอง เสียงในใจจะบอกเราว่า จะดีแค่ไหนหากเราได้ใกล้ชิดกับเธอ ได้รู้จักทักทาย หรือแม้กระทั่งได้จูบสักครั้ง
ขั้นที่สาม การได้ใกล้ชิดได้นำไปสู่ความหวัง เป็นขั้นแรกที่เราเริ่มต้นพิจารณาความสมบูรณ์ตัวคนที่เราปรารถนา สต็องดาลอธิบายว่า ความหวังแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อเกิดความรักขึ้นมาได้
ขั้นที่สี่ ความรักเริ่มก่อตัวเกิดขึ้น เราสามารถพูดได้ว่า เรารักคนคนนั้น แม้เราจะไม่สามารถบอกหรือพูดออกไปได้ แต่ความรู้สึกนั้นก็แจ่มชัด การไม่ได้รับรักตอบในห้วงเวลานี้จะสร้างความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งในใจเรา เป็นได้ที่เราจะมีความรักอยู่โดยไม่มีความหวัง แต่ครั้นเมื่อเราสามารถข้ามผ่านขั้นตอนนี้ไปได้
ขั้นที่ห้า การก่อรูปอุดมคติครั้งแรก (first crystallization) ก็จะเกิดขึ้นติดตามมา เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกได้ถึงความสมบูรณ์ของคนที่เรารักในทุกแง่มุม สต็องดาลได้ยกเอาเหตุการณ์ที่ในเหมืองเกลือแถบซอลส์บวร์ก (Salzburg) มาอธิบาย เมื่อโยนกิ่งไม้แห้งลงไปในบ่อ ราวสองถึงสามเดือนกิ่งไม้นั้นจะถูกหุ้มด้วยผลึกเกลือ แม้แต่ในกิ่งก้านที่เล็กที่สุด ผลึกนั้นจะส่องแสงวับวาวดูราวกับเพชรพลอย กิ่งไม้แห้งแปลงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนภาพอุดมคติของคนที่เรารัก
ขั้นที่หก เกิดความสงสัย แม้ความรักได้ก่อรูปขึ้นแล้ว แต่ความสงสัยและความคลางแคลงใจว่าอีกฝ่ายจะรักเช่นที่เรารักหรือไม่ก็เกิดขึ้นมา เราจะเริ่มมีความสุขน้อยลง กระวนกระวายใจและต้องการพิสูจน์ ซึ่งถ้าไม่สามารถข้ามผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ ความรักก็อาจกลับกลายเป็นความแหนงหน่าย แต่หากสามารถข้ามผ่านไปได้ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นที่เจ็ด การก่อรูปอุดมคติครั้งที่สอง (second crystallization) ที่ผลึกซึ่งก่อตัวรอบกิ่งไม้ก่อตัวโดยสมบูรณ์ คนที่เรารักและปรารถนารักและปรารถนาในตัวเราด้วยเช่นกัน ถัดจากนั้นในทุกนาที ทุกชั่วโมง เราก็จะพบแต่ความสวยงาม และความเป็นอุดมคติชัดแจ้งในตัวเอง ความรู้สึกที่ว่า 1) เธอนั้นสมบูรณ์แบบในทุกทาง 2) เธอรักฉัน 3) ฉันจะสามารถพิสูจน์ความรักที่เพิ่มมากขึ้นของเธอได้อย่างไร จะเกิดขึ้นในใจเรา ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับบางคนการหมกมุ่นครุ่นคิดหาเหตุผลที่มากเกินไปอาจทำลายการก่อรูปนี้ลงอย่างสิ้นเชิง
สต็องดาลได้อธิบายว่า ระหว่างขั้นที่ 1 และ 2 อาจใช้เวลาร่วมปี และระหว่างขั้นที่ 2 และ 3 อาจใช้เวลาร่วมเดือน และหากขั้นที่ 3 หรือความหวังยังไม่ก่อกำเนิด ขั้นที่ 2 ก็จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์ ในขณะที่ขั้นที่ 3 และ 4 อาจใช้เวลาเพียงอึดใจเดียว ขั้นที่ 4 และ 5 เกิดขึ้นสืบเนื่องกัน แต่สามารถพังทลายลงได้จากการมีสัมพันธ์ทางกาย ระหว่างขั้น 5 และ 6 อาจใช้เวลาไม่กี่วัน และไม่มีช่องว่างระหว่างขั้นที่ 6 และ 7
สต็องดาลได้เล่าไว้ในภาคผนวกท้ายเล่มว่า เขาค้นพบกระบวนการก่อรูปอุดมคตินี้ในระหว่างที่เขาท่องเที่ยวเดินทางไปยังเหมืองเกลือที่ฮัลไลน์ (Hallein) ไม่ไกลจากซอลส์บวร์ก ซึ่งกิ่งไม้ที่กลายเป็นผลึกแก้วส่องประกายวิบวับนั้นมักจะเป็นของที่ระลึกที่ชาวบ้านขายหรือมอบให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเหมืองเกลือแห่งนี้ สต็องดาลกับมิตรสหายที่เป็นสุภาพสตรีชาวอิตาลีนามว่า เกราดีได้หนีสภาพอากาศอันย่ำแย่ของโบโลญามาพักผ่อนหย่อนใจยังภูเขาแซงต์-โกตารด์ก่อนจะมาแวะพักที่ซอลส์บวร์กและฮัลไลน์ที่ทำให้เขาได้สังเกตเห็นการก่อตัวขึ้นของความรัก ซึ่งนายทหารชาวบาวาเรียมีต่อเกราดี ซึ่งสำหรับสต็องดาลแล้วเป็นสุภาพสตรีอิตาลีธรรมดา ทว่าในสายตาของนายทหารบาวาเรียเธอคือเทพธิดา สต็องดาลได้เปรียบกระบวนก่อรูปอุดมคตินี้กับการเดินทางจากโบโลญญาไปสู่กรุงโรม อธิบายว่าโรมคือปลายทางที่เป็นตัวแทนของรักอันสมบูรณ์
แนวความคิดว่าด้วยการก่อรูปอุดมคติของสต็องดาลเรียกได้ว่าเป็นความพยายามจะทำความเข้าใจความรักในห้วงเวลาที่จิตวิทยา หรือความรู้ด้านประสาทวิทยายังไม่ก่อกำเนิด ดังนั้นสิ่งที่เขาคิด และเขียนออกมาจึงเป็นความรู้ในเชิงประสบการณ์ในยุคสมัยของเขา เป็นทฤษฎีของนักปฏิบัติที่ล้มเหลวในปฏิบัติการครั้งสำคัญ เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น หรือเพื่อตอบคำถามง่ายๆ ว่าทำไมเธอจึงไม่รักเขา
• • •
Reference
Stendhal, On Love, translated by Gilbert and Suzanne Sale, (London: Penguin Classics,1975)
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "In Theories: ในความรักเราต่างเป็นนักทฤษฎี" กันยายน 2563 สำนักพิมพ์ SALMON