Lucio’s Confession

Mário de Sá-Carneiro เป็นกวี-นักเขียนชาวโปรตุเกสผู้อำลาจากโลกไปด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่บทกวีและเรื่องสั้นอันมีอยู่จำกัดนั้นทำให้ชื่อของ Sá-Carneiro ได้รับการจดจารว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนสมัยใหม่นิยม (modernist) คนสำคัญของโปรตุเกสร่วมกับ Fernando Pessoa ยอดกวีผู้มีผลงานออกมามากมายภายใต้ชื่อและอัตลักษณ์ต่างๆ
ทั้ง Pessoa และ Sá-Carneiro เคยได้ร่วมกันจัดทำวารสารกวีนิพนธ์ Orpheu แม้จะจัดพิมพ์ได้เพียงแค่สองฉบับ แต่กลับส่งอิทธิพลและก่อเป็นคลื่นความเคลื่อนไหวทางศิลปะ-วรรณกรรมที่เรียกว่า Geração de Orpheu หรือ Orpheus's Generation
งานร้อยแก้วและกวีนิพนธ์ของ Sá-Carneiro ต้องเรียกว่าเกิดภายใต้บรรยากาศและอิทธิพลของกลุ่มพิเรนทรมย์ (decadence) และสัญลักษณนิยม (symbolisim) ที่แผ่ขยายออกไปทั่วทั้งยุโรป เรื่องสั้นของ Sá-Carneiro ไม่เพียงพูดถึงความบ้า ความตาย แต่คงรวมไปถึงการนำเสนอประเด็นที่สุ่มเสี่ยงล่อแหลมและละเมิดกรอบเกณฑ์ความคิดในเรื่องเพศ (transgression) ดังที่ปรากฏในเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่อง Lucio’s Confession ที่เขาประพันธ์ขึ้นในปี 1913
Lucio’s Confession เป็นเรื่องเล่าในรูปแบบคำสารภาพของลูชิอู (Lucio) นักเขียนเรื่องสัั้นและบทละครชาวโปรตุเกสที่ถูกจับข้อหาฆาตกรรมกวีผู้มีนามว่า ริคาดู เด ลัวเรรู (Ricardo de Lourero) และภายหลังจากลูชิอูต้องโทษคุมขังเป็นเวลาสิบปี เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่มีบิดพลิ้ว ความจริงที่แม้จะไม่มีใครเชื่อ แต่ได้เกิดขึ้นจริง
ลูชิอูพาเราย้อนกลับไปยังสิบกว่าปีก่อนหน้า ขณะเขาเดินทางไปศึกษาต่อทางด้านกฎหมายที่ฝรั่งเศส หากสุดท้ายลูชิอูกลับไปคลุกคลีตีโมงกับกลุ่มนักเขียนและศิลปินชนชาติต่างๆ ที่ใช้ปารีสเป็นถิ่นพำนักและฟูมฟักวัฒนธรรมทางปัญญา
ในตอนแรกนั้นลูชิอูมักจะสนทนาและไปไหนมาไหนกับกวี-นักเขียนมาดดีอย่างเกอวาซิอู วิลา-นูวา (Gervásio Vila-Nova) ซึ่งเป็นผู้นำพาลูชิอูไปรู้จักกับศิลปินหญิงชาวอเมริกันที่มีวิถีชีวิตและภาพลักษณ์มีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครแวะเวียนไปพบหาเธออยู่เสมอๆ และในงานสังสรรค์ครั้งหนึ่งที่หญิงชาวอเมริกันเป็นผู้จัดนั้น ลูชิอูก็ได้พบกับริคาดู เด ลัวเรรู กวีเพื่อนร่วมชาติเป็นครั้งแรก
ภายหลังการแสดงแสงสีและการร่ายรำของคณะนักแสดงที่เหมือนจะปลุกเร้าความปรารถนาในเพศรสของตัวผู้ชมอย่างพิสดารจบลง (ริคาดูเรียกการแสดงนี้ว่า ‘การสังวาสหมู่แห่งเปลวเพลิง’) ลูชิอูกับริคาดูก็เริ่มติดต่อและคบหาเป็นเพื่อน ส่วนวิลา-นูวาที่ลูชิโอมองเห็นเป็นเพียงบุคคลฉาบฉวยในแวดวงศิลปิน (ผู้ชอบให้แสงสว่างฉายส่องตัวเอง พล่ามพูดถึงความคิดความเชื่อที่มักจะผิด จนต้องถกเถียงแก้ต่างความเข้าใจผิดในเรื่องต่างๆ นั้นอยู่เสมอ) ก็กลับไปลิสบอนและไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกับลูชิอูอีกเลย
ลูชิอูกับริคาดูสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมากขึ้นจนสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องวรรณกรรม ความเคลื่อนไหวในโลกของกวีนิพนธ์ หรือแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดได้แทบจะทุกเรื่อง ซึ่งลูชิอูสัมผัสได้ว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นมีความจริงใจและไม่ได้ดัดจริตเสแสร้งแบบวิลา-นูวา เวลาแห่งมิตรภาพพ้นผ่านไปถึงวันที่ริคาดูต้องเดินทางกลับไปลิสบอน ลูชิอูจึงเริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองได้สูญเสียเพื่อนที่รู้ใจไป
ภายในหนึ่งปีหลังจากนั้น ลูชิอูตัดสินใจเดินทางกลับลิสบอน ทั้งจากเรื่องธุระจำเป็นและความต้องการจะเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนรักของเขา ริคาดูไปรอรับเขาถึงสถานีรถไฟและครั้งนั้นเองที่ลูชิอูตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเพื่อนของเขา ความโอนโยนแบบอิสตรีได้ลบความกร้านแกร่งลงไปจากเดิม ริคาดูพาลูชิโอไปบ้านพักของเขา และลูชิอูก็ได้เห็นว่า ริคาดูได้มีภรรยาแล้ว เธอมีชื่อว่า มาร์ทา (Marta)
เรื่องราวแปลกๆ ได้เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น เมื่อมาร์ทามักจะถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับเธอเพียงลำพังเสมอๆ และเธอก็ค่อยๆ ใกล้ชิดลูชิอูมากขึ้นๆ จนกระทั่งได้แอบไปลอบมีความสัมพันธ์ที่บ้านของลูชิอูในหลายครั้งหลายครา
แต่ความพิลึกพิสดารยิ่งกว่าได้รอลูชิอูอยู่ในกาลข้างหน้า เมื่อเขาพบว่ามาร์ทาเป็นหญิงปราศจากอดีต และไม่ว่าเธอจะถูกลูชิอูไล่ซักถามประวัติชีวิตอย่างไร เธอก็ไม่เคยบอกเล่าถึงอดีตเลยแม้สักครั่ง การมีอยู่ของเธอจึงเป็นปริศนาข้อใหญ่ที่ปั่นป่วนอยู่ในความนึกคิดจิตใจของลูชิอูเรื่อยมา
สัมพันธ์ลับของทั้งคู่เหมือนจะไม่ความลับอีกต่อไป เพราะการยั่วเย้าของมาร์ทาได้เกิดขึ้นแม้แต่ในบ้านของริคาดู และริคาดูนั้นก็เหมือนจะรู้ เพราะเขาเองก็แกล้งยั่วแหย่ลูชิอูด้วยการนำมือของลูชิอูมาจูบ (เพื่อสอนวิธีจูบมือผู้หญิง) และจากจูบนั้นเองที่ทำให้ลูชิอูรู้สึกว่าสัมผัสของมาร์ทาที่มีต่อเขาละม้ายคล้ายคลึงกับริคาดูราวกับเป็นสัมผัสเดียวกัน
แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน มาร์ทาก็เลิกแวะเวียนไปลูชิอู มันทำให้เขาตกอยู่ในความทุกข์ที่ไม่สามารถบ่นระบายให้ใครฟังได้ เขาเฝ้าสะกดรอยตามมาร์ทาจนสืบทราบว่า นอกจากเขาแล้วก็ยังมีคนอื่นๆ ที่เธอแวะเวียนไปหา บางครั้งไม่ใช่ผู้ชายคนเดียว และนั่นทำให้เขาจำต้องตัดสินใจเดินทางกลับไปปารีสเพื่อพักใจ และเริ่มต้นลงมือเขียนบทละครเรื่อง ‘ไฟ’ (ที่สื่อเป็นนัยถึงเรื่องราวต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา)
บทละครของลูชิอูได้รับความชื่นชมจากผู้จัดและนักแสดง และก่อนที่ละครจะเริ่มจัดแสดงที่ลิสบอนเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้เดินทางไปพบผู้จัด เพื่อเสนอตอนจบของละครใหม่ ตอนจบที่แปลกล้ำและยอดเยี่ยมกว่าตอนจบแบบแรก แต่กลายเป็นว่าตอนจบดังกล่าวถูกผู้จัดมองทำให้ละครนั้นเป็น ‘ขยะ’ ลูชิอูจึงขอให้ผู้จัดยกเลิกการแสดงและขอต้นฉบับบทละครกลับมาเผาทำลาย
การกลับมาลิสบอนทำให้เขาได้พบกับริคาดูอีกครั้ง หลังจากทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันเลย การได้พบหน้าและสนทนากันทำให้ลูชิอูเห็นว่าริคาดูกำลังตกอยู่ในอาการของคนเพ้อคลั่ง หลังจากได้บอกเล่าความจริงเกี่ยวกับมาร์ทา เรื่องว่าเขาทำให้เธอเป็นคนรักลูชิอู เพราะเขาไม่สามารถจะมีสัมพันธ์กับลูชิอูได้ เขาจึงได้สร้างมาร์ทาขึ้นมาให้รักเขา จนสุดท้ายได้นำไปสู่การมีสัมพันธ์ผู้ชายคนอื่นๆ
จากนั้นริคาดูก็พาลูชิอูไปหามาร์ทาเพื่อจบปัญหาทั้งหมด และครั้นเมื่อไปถึงห้องที่มาร์ทาอยู่ ริคาดูก็นำเอาปืนพกกระหน่ำยิงใส่จนเธอร่วงลงไปนอนกับพื้น แต่สิ่งที่ลูชิอูได้เห็นหลังจากนั้นก็คือร่างของมาร์ทาค่อยๆ อันตรธานหายไป ในขณะที่ข้างๆ เขาเป็นร่างของริคาดูที่สิ้นลมหายใจเพราะต้องกระสุน โดยข้างๆ กันนั้นเป็นปืนพกที่ตกอยู่
เรื่องเหลือเชื่อทั้งหมดคือความจริงที่ลูชิอูพยายามบอกเล่าให้เราฟัง ความจริงที่เขาไม่อาจนำไปอธิบายเพื่อแก้ต่างระหว่างการไต่สวน และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกสิบปีในคดีฆาตกรรม
ถึงลูชิอูจะบอกเล่าทุกอย่าง แต่ปริศนาข้อใหญ่เกี่ยวกับตัวตนของมาร์ทา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอถูกนำมา/สร้างขึ้นเป็นตัวแทนของริคาดูในการร่วมรักกับชายอื่นก็ยังไม่ถูกคลี่คลาย หรือถูกทิ้งเป็นปริศนาให้ผู้อ่านจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ต่อไป
Lucio’s Confession บอกเล่าตามความเชื่อและความคิดของลูชิอูที่ว่า เขาไม่ได้กำลังเขียนนวนิยาย แต่กำลังเขียนคำสารภาพจากความเป็นจริงที่เขาประสบมา ทว่าความจริงของลูชิอูนั้นก็ดูเหลือเชื่อ หรือเลยพ้นจากเหตุผลและคำอธิบายที่เราจะเข้าใจได้
การหายตัวไปอย่างเหมือนไม่เคยมีตนอยู่ของมาร์ทาทำให้ตัวเรื่องราวข้ามเส้นจากเรื่องเล่าที่สมจริงไปสู่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติและทำให้ผลงานนี้มีความเป็นงานเขียนแนวแฟนตาสติก (fantastic) ซึ่งผูกโยงเรื่องขึ้นบนความไม่แน่นอน ความแคลงใจสงสัยว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ทั้งหมดเป็นเพียงภาพคิด ความฝัน อาการหลงละเมอเพ้อพกของตัวละคร หรือผู้เล่าเรื่องหรือเปล่า และในอีกทางเรื่องเล่าในแนวแฟนตาสติกก็จะเปิดทางให้คำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ Lucio’s Confession มีความพิเศษแปลกต่างกว่าตรงที่เขาเลือกจะไม่อธิบายอะไรเลย
คงไม่เกินเลยไปจากความจริงนัก หากจะกล่าวว่าเรื่องสั้นขนาดยาวที่เขียนในวัยยี่สิบต้นของ Sá-Carneiro เป็นเพชรเม็ดงามของวรรณกรรมยุคต้นศตวรรษที่ 20 เพราะนอกจากประเด็นที่ท้าทายกรอบเกณฑ์ความคิดเรื่องเพศแล้ว Sá-Carneiro ยังได้สอดแทรกคำวิจารณ์ผู้คนในแวดวงศิลปะไว้อย่างเจ็บแสบ โดยเฉพาะพวกไล่คว้าความแปลกใหม่ที่เป็นแต่เพียงเปลือกอันไร้แก่นสารผ่านตัวละครวิลา-นูวา ศิลปินมาดดีนั่นเอง
จนให้นึกเสียดายและชวนให้สงสัยเหลือเกินว่าถ้า Sá-Carneiro ยังไม่จบชีวิตตนเอง ผลงานในยุคถัดจากนี้จะเป็นเช่นไรกัน