Deleuze and Literature

Deleuze กับ ‘วรรณกรรม’
เวลาเราพูดถึง ‘วรรณกรรม’ เราหมายความถึงสิ่งใด งานเขียนโดยทั่วไป เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ ความเรียง หรืองานเขียนที่ดีมีคุณค่ามากกว่าเรื่องอ่านเล่นธรรมดาๆ?
คิดว่าหลายคนในที่นี้ มีภาพความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘วรรณกรรม’ เหมือน คล้าย หรือแตกต่างกันไปตามแต่ความสนใจ ความผูกพันที่มีต่อ ‘ประดิษฐกรรม’ ชนิดนี้
หากถามผู้ศึกษา Georg Lukács กับ Maurice Blanchot ก็ย่อมได้คำตอบของคำถามว่า “วรรณกรรมคืออะไร?” ไม่เหมือนกัน อย่าว่าเปรียบเทียบแนวคิดระหว่างบุคคลเลย แม้แต่ในคนเดียวกัน เช่นกรณีของ Lukács นั้นเราก็อาจจะพบว่า ตัวเขาเองมีความคิดความเห็นในเรื่องนี้แตกต่างออกไปตามแต่หลักปรัชญาแนวคิดที่เขายึดถือ ซึ่งในกรณีของ Gilles Deleuze นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ (ผู้ที่ด้านหนึ่งเลือกหยิบวรรณกรรมจำนวนมากขึ้นมาศึกษา และอีกด้านหนึ่ง ปรัชญาของเขามีความผูกพันกับวรรณกรรมที่เขาอ่านอย่างเหนียวแน่น) กลับพบว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความคงเส้นคงวาในสิ่งที่เขาคิดหรือเขียนมากที่สุดคนหนึ่ง [1]
ในโลกวิชาการ การทบทวนวรรณกรรม (literary review) ย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการเขียนรายงานวิจัยโดยปริยาย และถึงแม้ ‘วรรณกรรม’ ในที่นี้จะหมายความถึงผลงานวิชาการที่มีประเด็น/หัวข้อศึกษาใกล้เคียงกัน แต่ความเกี่ยวเนื่องดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นความผูกโยงภายในสิ่งที่เราเรียกว่า ‘วรรณกรรม’ หรือพูดง่ายๆ แล้วก็คือใน ‘วรรณกรรม’ เรื่องหนึ่งๆ ย่อมมี ‘วรรณกรรม’ อีกหลากหลายชิ้นอยู่ภายใน ความมากมายและคุณลักษณะทบทวี (multiplicity) นี้จะเป็นประเด็นให้เราพูดถึงกันต่อไป
Gilles Deleuze เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีชีวิตและความคิดคล้ายคลึงกับนักเขียน-นักประพันธ์ฝรั่งเศสหลายคน คือเป็นคนที่ไม่ต้องการเขียน หรือไม่อยากเห็นหนังสือชีวประวัติของตัวเอง
เรื่องราวชีวิตของ Deleuze ที่เราพอรับรู้รับทราบโดยส่วนใหญ่จึงมักมาจากการสัมภาษณ์ คำบอกเล่าบางห้วงบางเหตุการณ์ ซึ่งมักลงท้ายด้วยการที่เขาบอกว่า เขา ‘มีความทรงจำเกี่ยวกับวัยเด็กไม่มากนัก’ หรือไม่ ‘ชีวิตการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่มีอะไรน่าสนใจมากพอให้พูดหรอก’ และอีกแหล่งที่มีความสำคัญก็คือจากปากคำเพื่อนของเขาเอง เช่นที่นักเขียนนวนิยายชาวฝรั่งเศส Michel Tournier ที่เล่าว่า เมื่อราวปี 1943 Tounier และ Deleuze ได้มีโอกาสไปชมละครเรื่อง The Flies ของ Jean-Paul Sartre ในช่วงนั้นเองมีหวูดสัญญาณเตือนภัยทิ้งระเบิด ขณะที่ผู้คนในโรงส่วนใหญ่พากันหนีลงหลุมหลบภัย สองนักศึกษาหนุ่มนั้นกลับวิ่งออกไปดูแสงไฟวาบจากระเบิดที่เหมือนราวกับดอกเห็ดเรืองแสงยามราตรี
ว่าไปแล้วประวัติชีวิตของ Deleuze ใช่ว่าจะไม่มีสีสันหรืออะไรให้เล่าเลย (เราต้องลบด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า Tournier คือนักเขียนนวนิยาย) แต่ Deleuze หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงชีวิตของเขาเอง อาจด้วยที่เขาแลเห็นไปในทางเดียวกับ Friedrich Nietzsche ที่ว่าเราไม่ควรพึงพอใจกับแค่การมีชีวประวัติ ประวัติผลงานการประพันธ์ แต่เราควรจะสร้างเกร็ดชีวิตทำนองนี้ด้วยชีวิตของเราเอง ด้วยถ้อยความ หรือคติพจน์สั้นๆ ที่มีความหมายเทียบเท่ากัน หรือกล่าวในอีกทางหนึ่งแล้วก็คือ Deleuze ย่อมเห็นว่า เกร็ดชีวิตที่มิได้นำไปสู่สิ่งใหม่ การประกอบแนวคิด หรืออะไรก็ตาม ย่อมไม่มีค่าควรแก่การกล่าวถึง เหมือนอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า “นักเขียน และผู้สร้างสรรค์ทั้งหลายล้วนคือเงา เราจะเขียนชีวประวัติของ Proust หรือ Kafka ได้อย่างไร เพราะเมื่อคุณเริ่มเขียน คุณก็จะค้นพบว่า เงาเหล่านี้มีแก่นสารมากกว่าร่าง”
ด้วยเหตุนี้ Deleuze จึงเขียน Spinoza: Practical Philosophy ในส่วนของประวัติชีวิตในแง่มุมที่ทำให้เราเห็นว่ามันมีความเชื่อมโยงกับปรัชญาความคิดของ Spinoza อย่างไร และทำให้เห็นในทางตรงกันข้ามในกรณีของ Nietzsche ว่า ชีวประวัติของ Nietzsche ที่แพร่หลาย ซึ่งขับขยายเรื่อง ‘ความบ้า’ จนเลยเถิดนั้นบิดเบือนและทำลายมโนทัศน์ของ Nietzsche อย่างไร หรือไม่แล้ว Deleuze (และเพื่อนของเขา Guattari) ก็ดูจะให้ความสนใจกับข้อเขียนที่ล้มเหลวในการเป็นชีวประวัติมากกว่า เช่น The Cracked-Up ของ F. Scott Fitzgerald ที่สร้างความอื้อฉาวโด่งดังในเรื่องที่ไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับชีวิตของผู้เขียน (เหมือนอย่างที่คนตั้งตาคาดหวังจะอ่าน) แต่สำหรับ Deleuze และ Guattari เรื่องดังกล่าวนี้กลับฉายให้เห็นภาวะร้าวรานภายใน ซึ่งเป็นคอนเซ็ปท์หรือแนวคิดบางอย่างที่ทั้งสองได้แสดงให้เห็นใน A Thousand Plateaus บทที่ชื่อ 1874: Three Novellas, or “What happened?”
เพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพ ขออนุญาตยกบทเปิดเรื่อง The Cracked-Up ของ Fitzgerald มาประกอบ
“แน่นอนว่าชีวิตทั้งหมดนั้น คือกระบวนการไปสู่ความแหลกสลาย หากทว่าแรงกระทำที่ก่อให้เกิดผลสะเทือนอารมณ์ แรงกระหน่ำครั้งใหญ่ที่มาถึงในเฉียบพลัน หรือเหมือนกำลังจะมา จากภายนอก แรงที่คุณจดจำได้และโทษว่าสิ่งต่างๆ แรงที่ทำให้คุณรู้สึกอ่อนแอ จนต้องบอกเล่าให้เพื่อนของคุณฟังนั้น อาจไม่ได้แสดงให้เห็นผลทั้งหมดในคราวเดียว เพราะยังมีแรงกระทำอีกแบบที่ก่อตัวขึ้นภายใน คุณจะไม่รู้สึกจนกระทั่งมันสายเกินกว่าจะทำอะไรได้ จนคุณเริ่มตระหนักได้ในชั่วขณะสุดท้ายว่า ในบางแง่ความคิด คุณจะไม่ใช่คนที่ดีดังเดิมอีกต่อไป การแตกสลายแบบแรกเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากแบบที่สองเหมือนจะเกิดขึ้นโดยคุณแทบไม่รู้ตัว เว้นแต่คุณจะตระหนักได้ในฉับพลันขณะจริงๆ”
ประวัติชีวิตจะมีคุณค่าและความหมายก็เมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา นอกเหนือจากประวัติชีวิตแล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ Deleuze มีความคล้ายคลึงกับนักเขียนจำนวนมากคือ เขาไม่นิยมการโต้แย้ง หรือ debate ความคิดในผลงานของเขา
เพราะสำหรับเขาแล้ว การถกเถียงเหล่านี้ล้วนคือการสื่อสาร (communication) ที่พิจารณาได้ว่าอยู่นอกเหนือความสนใจของ Deleuze ต้องไม่ลืมว่า สังคมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงรัฐบาลวีชี (Vichy France) ระบบการเซ็นเซอร์ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ พื้นที่สำหรับสื่อแสดงความคิดจึงมักอยู่ในสิ่งพิมพ์ใต้ดิน หรือถูกลงรหัสไว้ในรูปของละคร ภาพยนตร์ หรืองานศิลปะ แต่ฝรั่งเศสหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง การสื่อสารแลกเปลี่ยนกลับมีอยู่ในทุกที่ มันคือการระเบิดของ free speech ที่ไม่รวมไปถึง free thought เหมือนอย่างที่ Kierkegaard กล่าวไว้ในยุคของเขา นี่คือยุคที่นักคิด-นักปรัชญาฝรั่งเศสออกโทรทัศน์เป็นว่าเล่น และในสังคมที่ public opinion เป็นสิ่งที่หาได้โดยทั่วไป การถกเถียงในทุกเรื่องทุกมิติมีพื้นที่และช่องทางเต็มล้นนั้นกลับทำให้เราต้องสื่อสารแสดงออกทั้งที่ไม่มีอะไรให้พูด และนี่ก็คือภาวะที่ Deleuze เห็นว่า มันขัดแย้งหรือขัดขวางการผลิตของเขาที่เรียกว่า ‘การผลิตแนวคิด’
นี่เองกระมังที่ทำให้ Žižek นำเอาคำอธิบายที่ฟังดู eccentric ของ Deleuze ไปล้อเลียนว่า ถ้าคุณเจอ Deleuze ที่คาเฟ่ แล้วคุณเข้าไปพยายามถกเถียงโต้แย้งเรื่องงานของเขาแล้ว เขาจะวิ่งหนีคุณไปในทันที
กล่าวกันว่า ‘ปรัชญา’ กับ ‘วรรณกรรม’ สำหรับ Deleuze เป็นสิ่งที่สานสัมพันธ์ หรือมีความเกี่ยวเนื่องถึงกันโดยตลอด นี่เป็นข้อสังเกตที่ John Marks ผู้เขียน Gilles Deleuze: Vitalism and Multiplicity ได้เน้นย้ำไว้ว่า ถึงแม้ Deleuze จะไม่ได้เขียนผลงานอย่าง Cinema I& II เพื่อศึกษาสิ่งที่เรียกว่า วรรณกรรมโดยตรง แต่เขาก็มีข้อเขียนศึกษาวรรณกรรมของ Proust, Lewis Carroll (Logic of Sense), Leopold Sacher-Masoch หรือ Kafka: Towards a Minor Literature ที่เขียนร่วมกับ Félix Guattari และมี Essays: Critical And Clinical ออกมาในช่วงปลายของชีวิต
Deleuze เคยเขียนและให้สัมภาษณ์ไว้หลายครั้งในเรื่องนี้ ที่ก็ทำให้เราได้มองเห็นและเข้าใจได้ว่าตัวเขานั้นมองเห็นนักเขียน กวี และนักปรัชญาทั้งหลายอยู่ในระนาบเดียวกัน คือเป็นมิตรแห่งมโนทัศน์ (concept) เหมือนที่ Deleuze (และ Guattari) ได้กล่าวไว้ใน What is Philosophy? ว่า
“นักปรัชญาคือมิตรแห่งมโนทัศน์ เขาคือศักยภาพแห่งมโนทัศน์ นั่นแปลว่า ปรัชญาจึงไม่ใช่เพียงเป็นแค่ศิลปะแห่งการก่อรูป การประดิษฐ์สร้าง และถักทอมโนทัศน์ เพราะมโนทัศน์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบ เป็นการค้นพบ หรือผลิตสร้าง หากกล่าวให้สู้รัดกุมยิ่งกว่านั้น ปรัชญาคือสาขาวิชาที่เกี่ยวโยงกับการสร้างสรรค์ มโนทัศน์...”
คงไม่ผิดไปจากความจริงแต่อย่างใด หากจะกล่าวว่า Deleuze นั้นคิดและเชื่ออย่างที่ Nietzsche กล่าวไว้ว่า นักเขียน นักคิดคือผู้รักษาอาการป่วยไข้ในโลกศิวิไลซ์ เพราะชัดเจนว่า Deleuze ได้ใช้ผลงานหลายชิ้นของเขาเป็นทั้งเครื่องมือรักษาอาการป่วยที่เรียกกันว่า Hegelian และแนวคิด negativity ที่แพร่ระบาดอยู่ในโลกวิชาการตอนนั้น
เหมือนข้อความอันโด่งดังจากจดหมายที่ Deleuze เขียนถึง Michel Cressole ที่ว่า “สิ่งที่ผมชิงชังที่สุดคือพวกลัทธิเฮเกล (Hegelianism) และวิภาษะวิธี (the dialectic)”
ทำไม Deleuze จึงต่อต้าน Hegel?
อันที่จริงแล้วไม่ใช่ Deleuze เพียงลำพังเท่านั้นที่ต่อต้าน Hegel หากทว่าคงรวมไปถึงบรรดานักคิดที่ชาวแองโกล-อเมริกันเรียกกันว่า Post-Structuralist
การต่อต้าน Hegel ถือเป็นกระแสความคิดที่เกิดขึ้นภายหลังจากปรัชญาของ Hegel ซึมซ่านกระจายตัวอยู่ในทุกหนแห่ง เหมือนดังคำกล่าวของ François Châtelet ที่ว่า Hegel นั้น “กำหนดขอบเขตความรู้ ภาษา บทบัญญัติที่ยังคงอยู่ในศูนย์กลางของทุกวันนี้ Hegel แท้จริงแล้วนั้นคือ Plato สำหรับเรา เป็นผู้กำหนด-ทั้งในเชิงอุดมคติความคิด หรือความเป็นศาสตร์ ในทางบวก และในทางลบ เป็นความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎีของทฤษฎี”
จากประกาศกอย่าง Kojève และ Jean Hyppolite มาสู่ Sartre, Blanchot, Bataille และ Lacan การดิ้นรนแข็งขืน Hegel โดยไม่ถูกนับรวมเข้าไปในกระบวนการ dialectic จึงเป็นสิ่งที่หลีกหลบได้ยากถึงยากที่สุด มันเปรียบเหมือนน้ำวนที่ดึงดูดเราเข้าไปในใจกลาง ไม่ว่าเราจะว่ายไปในทิศทางใด ซึ่ง Deleuze ถือเป็นหนึ่งในนักปรัชญาฝรั่งเศสไม่กี่คนที่สามารถฟันฝ่าต่อสู้กับ Hegel ได้ยาวนานและยาวไกลที่สุด โดยอาศัยความร่วมมือของ Spinoza, Bergson, Nietzsche, Marx และ Kierkegaard ซึ่งก็ชัดเจนว่า 3 คนหลังสุดมีจุดเริ่มต้นที่ Hegel และลงท้ายด้วยการต่อต้านอย่างแข็งขัน
อย่างไรก็ตาม การต่อต้าน Hegel ของ Deleuze นี้ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โดยทั่วกัน และให้น้ำหนักกับอัตราต่อรองของมวยคู่นี้แตกต่างกันไป แต่ผู้ที่เคยได้อ่าน Gilles Deleuze: An Apprenticeship in Philosophy ของ Michael Hardt แล้วก็จะเห็นได้ว่า Hardt ได้อภิปรายถึงโครงการล้ม Hegel ของ Deleuze ไว้โดยละเอียด และยังคงยืนยันสถานะของ Deleuze ว่าเป็นพวกล้ม Hegel อย่างจริงแท้แน่นอน
ความอาฆาตมาดร้ายต่อ Hegel นี้ทำบางคนเปรียบเปรยให้ Deleuze เป็นกัปตันเอฮับ (Captain Ahab) ที่ออกตามล่าวาฬยักษ์ที่ชื่อ Hegel ซึ่งแน่นอนครับว่าการจินตนาการให้ Deleuze เป็นกัปตันขาด้วนผู้บ้าคลั่ง ย่อมจะง่ายกว่าการวาดภาพ Deleuze เป็นนักอนุรักษ์แน่ๆ
ในส่วนแรกที่ผมจะพูดถึง ขอเริ่มต้นที่เรื่อง ‘วรรณกรรมกับ Deleuze’ เพื่อชี้ให้เห็นว่า Deleuze อ่านและสนใจวรรณกรรมประเภทไหน การหยิบจับวรรณกรรมต่างๆ มาศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอปรัชญาความคิดของเขาอย่างไรบ้าง และในส่วนที่สองจะเน้นไปที่รูปแบบและวิธีการอ่านของ Deleuze ที่ค่อนข้างเป็นที่วิจารณ์กันว่ามีทั้งในส่วนของการตีความใหม่ และหยิบใช้ความคิดในบทวิเคราะห์เพื่อรับใช้ความคิดของเขาเอง แต่จะเป็นไปในระดับเดียวกับที่ Žižek อธิบาย Hegel หรือ Lacan หรือไม่นั้นต้องให้ทุกท่านพิจารณาด้วยใจที่เปิดกว้างและเป็นธรรมกันเอง และในส่วนที่สาม เป็นส่วนที่ยังคงอยู่ในช่วงของการ conceptualized คือ Deleuze ยังคงสำคัญหรือไม่อย่างไร และทำไมเราต้องอ่าน Deleuze นี่เป็นบทวิเคราะห์และข้อสังเกตที่ผมมีต่อ Deleuze ในศตวรรษของ Deleuzian ซึ่งยังไม่รวมไว้ในบทความชุดนี้
(1)
‘วรรณกรรม’ และ Deleuze
Jean-Jacques Lecercle ได้เขียนไว้ในบทนำ Badiou and Deleuze Read Literature ไว้ประมาณว่า บอกมาสิว่า คุณอ่านตัวบทวรรณกรรมชิ้นไหนและอย่างไรบ้าง แล้วผมจะบอกว่า คุณเป็นนักปรัชญาแบบไหนและปรัชญาของคุณมีความสำคัญอย่างไรบ้าง
ขออภัยที่ก่อนหน้านี้ความทรงจำได้เล่นตลกและทำให้ได้อ้างอิงไปอย่างผิดๆ ว่า Badiou เป็นผู้กล่าวไว้ในคำนำ Being and Event ซึ่ง Badiou ไม่ได้พูดอะไรทำนองนี้เอาไว้เลย นอกจากการปรับทุกข์กับผู้อ่าน เรื่องที่นักปรัชญาภาคพื้นทวีป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส พากันไม่เข้าใจเขา และดูรังเกียจเดียดฉันท์ หลังจาก Badiou พยายามน้อมนำเอาแนวคิดแบบ analytic มาใช้ในปรัชญาของเขาก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมต้องกราบขออภัยผู้นิยมชมชอบ Badiou ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง
ฉะนั้นหากเราประยุกต์คำกล่าวของ Lecercle เข้ากับการอ่านวรรณกรรมของ Deleuze เราก็จะพบว่า Deleuze นั้นเลือกอ่านตัวบทที่ค่อนข้างเป็น ‘วรรณกรรม’ ชนิด hardcore หรือจะแปลแบบคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรีก็ต้องเรียกว่าแบบ ‘คอแข็ง’ อย่างมาก
นับตั้งแต่ In Search of Lost Time (À la recherche du temps perdu) ของ Marcel Proust บทละครของ Alfred Jarry, Antonin Artuad (ที่เป็นต้นเค้าของแนวคิดเรื่อง Body Without Organs) ไปจนถึงนวนิยายไตรภาคของ Beckett (ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้อ่านง่ายหรือบันเทิงเท่าไตรภาคมุสิกของมุราคามิแน่ๆ) ก็ยังมีวรรณกรรมเชิงทดลองทั้งในและนอกกลุ่ม nouveau roman อย่าง Alain Robbe-Grillet, Michel Butor และ Marguerite Duras
ไม่เพียงเฉพาะวรรณกรรมฝรั่งเศส หรืองานที่ประพันธ์ขึ้นในภาษาฝรั่งเศสอย่าง Beckett หรือ กวีชาวเบลเยียม Henri Michaux แต่ความสนใจของ Deleuze ยังแพร่ขยายไปสู่วรรณกรรมอเมริกันช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เช่นบทกวีของ Walt Whitman นวนิยายและเรื่องสั้นของ Herman Melville หรือกระทั่งวรรณกรรมร่วมสมัย ที่ ณ ปัจจุบันคงต้องเรียกว่า ‘โมเดิร์น คลาสสิก’ อย่างนวนิยายของ F. Scott Fitzgerald, Thomas Wolfe, Henry Miller, William S. Burroughs และ Jack Kerouac ที่ก็ต้องรวมไปถึงวรรณกรรมอังกฤษอย่าง Lewis Carroll, Thomas Hardy, Virginia Wolf, D.H. Lawrence, T.E. Lawrence (หรือที่เรารู้จักในชื่อของ Lawrence of Arabia) และ Malcolm Lowry รวมถึงวรรณกรรมประหลาดล้ำของ Witold Gombrowicz ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นกล่าวได้ว่า เป็นรสนิยมทางวรรณกรรมที่ค่อนข้างดูดีไร้ที่ติ (คล้ายๆ กับภาพยนตร์ที่ Deleuze เลือกมาศึกษาในงาน Cinema I& II) แต่ที่น่าสนใจกว่าชื่อที่ถูกทำหล่นรายทางไว้ตรงนี้ก็คือ วิธีการที่ Deleuze หยิบใช้ตัวบทวรรณกรรมมาผลิตสร้างแนวคิดหรือ มโนทัศน์ทางปรัชญา ซึ่งมโนทัศน์หนึ่งที่มีความสำคัญในระดับของคำประกาศ (manifesto) เลยก็คือ ‘วรรณกรรม’ นั้นคือสิ่งที่ท้าทายกรอบของภาษา เหมือนเช่นคำกล่าวอันโด่งดังของ Marcel Proust ที่ว่า นักเขียนที่มีค่าควรแก่การสนใจ คือบรรดานักเขียนที่น้อมนำเราไปสู่ ‘ภาษาใหม่’ ภาษาที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นเหมือนหนึ่งเป็น ‘ภาษาอื่น’
ความท้าทายของ Deleuze อาจไปไกลถึงขั้นที่ว่า ‘วรรณกรรม’ และ ‘ภาษาศาสตร์’ เป็นศัตรูคู่ตรงข้ามกัน ภาษาศาสตร์นั้นมองเห็นภาษาเป็นระบบที่ต้องมีความสมดุลย์ ที่มีความหลากหลายในการพูดออกมา ขณะที่วรรณกรรมนั้นประทะกับภาษาในฐานะที่มันเป็นระบบผสมผสานที่ไม่มีความหยุดนิ่งสมดุลย์ตลอดกาล จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่นักเขียนโดยส่วนใหญ่จะสร้างรูปแบบของประโยคและภาษาของเขาขึ้นมา (Deleuze มองเห็นปรัชญาภาษา หรือปรัชญาของ Wittgenstein เป็นหายนะของปรัชญา)
วรรณกรรมในความหมายของ Deleuze จึงเป็นกระบวนการกลายเปลี่ยน หรือ becoming เหมือนที่เขาได้เขียนไว้ “Literature and Life” ว่า “การเขียนย่อมไม่ใช่แค่การกำหนดรูปแบบ (ของการแสดงออก) บนเนื้อหาของประสบการณ์ที่มีชีวิต ยิ่งกว่านั้น วรรณกรรมได้เคลื่อนเข้าไปในทิศทางของสิ่งที่ยังคงไม่มีรูปร่าง หรือยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เหมือนอย่างที่วีโทลด์ กอมโบรวิซ ได้พูดและปฏิบัติ การเขียนคือคำถามต่อการกลายเปลี่ยน มักจะไม่มีวันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ มักจะอยู่ระหว่างการก่อรูป...การเขียนจึงไม่อาจแบ่งแยกออกจากการกลายเปลี่ยน ในการเขียน เรากลายเปลี่ยนเป็นผู้หญิง, กลายเปลี่ยนเป็นสัตว์หรือพืชพันธุ์ กลายเปลี่ยนเป็นโมเลกุล หรือกลายเปลี่ยนไปถึงจุดที่ไม่อาจรับรู้ได้”
สำหรับ Deleuze แล้ว วรรณกรรมจึงไม่ใช่ผลิตผลส่วนบุคคล ไม่ใช่ผลงานที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัว นักเขียนทั้งหลายไปไกลกว่าการบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว คือถึงแม้มันจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันกลับไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัว และมันคงมีช่องทางเชื่อมต่อไปสู่โลกภายนอก เหมือนเช่นที่ Deleuze เห็นว่าความทรงจำนั้นไม่มีบทบาทสำคัญเท่าใดในศิลปะ เพราะสุดท้ายแล้วศิลปินนั้นคือ ผู้มองเห็น (seer) และเป็นผู้กลายเปลี่ยน (becomer) วรรณกรรมจึงเป็นของส่วนรวม (collective) และมีส่วนในการสร้าง ‘ประชาชน’ ขึ้นมา ประชาชนส่วนน้อย เช่นที่ Kafka และ Melville เขียนถึงประชาชนในยุโรปตะวันออกและอเมริกา ประชาชนที่ยังไม่มีตัวตนอยู่
(2)
เมื่อ Deleuze อ่าน
Deleuze ได้ชื่อในเรื่องของการอ่านแปลกและแตกต่างไปจากนักปรัชญาโดยทั่วไป อย่างเช่นผลงานของ Spinoza ที่โดยทั่วไปแล้วแทบทุกนักปรัชญาก่อนหน้าล้วนอ่าน Spinoza ในแง่ที่เขาเป็น Rationalist ที่สืบทอดและปรับปรุงความคิดสืบเนื่องมาจาก Descartes ถ้าเข้าใจไม่ผิดประโยคอันโด่งดังของ Hegel ที่ว่า “คุณจะต้องเป็นสปิโนซิสต์ หรือไม่ก็ไม่ใช่นักปรัชญาเลย” - “You are either a Spinozist or not a philosopher at all” ก็อยู่บนฐานที่ Spinoza คือ Rationalist
ทว่างาน Spinoza: Practical Philosophy ของ Deleuze ชี้ชวนให้เราเห็นว่า Spinoza นั้นอาศัยเค้าโครงความคิดของ Descartes บางส่วนเพื่อนำเสนอแง่มุมปรัชญาที่สามารถเรียกได้ว่ามีความ radical และเป็น Materialist (ต้องไม่ลืมว่า Spinoza โด่งดังเป็นที่รู้จักในหมู่ปัญญาชนและผู้ผลิตหนังสือในเวลานั้น สืบเนื่องจากการที่เขาสอนและเขียนตำราอธิบายความคิดของ Descartes มาก่อน)
ในขณะที่โลกร่วมสมัยเห็นว่า ผลงานความคิดที่ไม่ลงชื่อคนเขียนอย่าง Tractatus Theologico-Politicus เป็นงานที่ radical อย่างที่สุดแล้ว แต่ Deleuze กลับชี้ให้เห็นด้วยว่างานอย่าง Ethics ของ Spinoza อาจมีอะไรที่ radical และอาจยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป เพราะจากงานที่ขึ้นชื่อในเรื่องต่อต้านศาสนา เปลี่ยนแปลงพระเจ้าให้เป็นสรรพสิ่ง มันได้กลายเป็นหมุดหมายของผลงานที่นำเสนอแนวคิดเรื่องของ commons ที่กลายเป็นประเด็นสำคัญในโลกร่วมสมัย เหมือนที่ Negri ได้ชี้ให้เห็นนัยยะนี้ในงาน Spinoza and Us
บางคนอาจเห็นว่า ไม่เพียงแต่ Spinoza เท่านั้นที่ใช้งานของ Descartes เป็นกล่องเครื่องมือสร้างความคิดของเขาเอง หากทว่า Deleuze นั้นก็ใช้ Spinoza เป็นกล่องเครื่องมือในการนำเสนอความคิดของเขาด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีบางคนได้ตั้งข้อสังเกตไว้เกี่ยวกับการอ่านของ Deleuze ไว้ว่าเขาเป็นนักอ่านที่สามารถหยิบยกเอาความคิดของนักคิดนักปรัชญาคนหนึ่งมาถกเถียงโต้แย้งกับตัวเอง เช่น กรณีของ Kant ในผลงาน Kant's Critical Philosophy: The Doctrine of the Faculties (1963) หรือสามารถอ่านงานที่ยากจะจัดระบบให้เกิดเป็นระเบียบความคิดบางอย่างเช่นกรณีของ Nietzsche ใน Nietzsche and Philosophy (1962) และอ่านเพื่อขับเน้นและเติมความเข้มข้นให้กับมโนทัศน์บางเรื่องเช่นกรณีของ Foucault ในงานเขียน Foucault (1986)
สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ อย่างน้อยก็สำหรับผม จึงอยู่ที่การเลือกอ่านวรรณกรรมของ Deleuze และดูว่าเขาจะอ่านมันอย่างไร
ในบรรดาวรรณกรรมสมัยใหม่ยิ่งใหญ่ 3 เรื่อง อันประกอบด้วย Ulysses ของ James Joyce, The Man without Qualities ของ Robert Musil และ In Search of Lost Time ของ Proust ผลงานเรื่องสุดท้ายดูจะอยู่ในความสนใจของ Deleuze มากที่สุด
อย่างที่เราทราบกันว่า Deleuze นั้นนิยมชมชอบวรรณกรรมอังกฤษ-อเมริกาเป็นอย่างมาก และเคยได้เขียน เคยได้ให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า เขาเล็งเห็นวรรณกรรมของอเมริกานั้นเหนือกว่าวรรณกรรมฝรั่งเศส แต่กระนั้นหนังสือเล่มแรกที่เขาเลือกมาศึกษากลับเป็นวรรณกรรมฝรั่งเศส และหัวข้อในการศึกษาก็เป็นเรื่องของ ‘สัญญะ’
Proust and Signs หรือ Proust et les signes เป็นผลงานความยาวไม่ถึงร้อยหน้าที่ Deleuze มุ่งศึกษาและทำความเข้าใจงานขนาดหลายพันหน้าของ Proust มันได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1964 ท่ามกลางกระแสและความเฟื่องฟูของแนวคิดแบบโครงสร้างนิยมและสัญศาสตร์ที่สืบทอดมาจาก Ferdinand de Saussure ก่อนจะได้รับการพิมพ์ซ้ำและเพิ่มเติมเนื้อหาส่วนหลังเข้าไปในปี 1972 และ 1973 (ที่มีการแบ่งเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาเป็นบทตอน)
สิ่งที่ Deleuze สร้างความแปลกประหลาดใจให้แก่นักอ่าน หรือนักวิจารณ์วรรณกรรมโดยทั่วไปคือการที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ‘การระลึกย้อน’ ในฉากขนมไข่ (madeleine) จุ่มชาไลม์ หรือหินกรวด (cobblestones) มากเท่ากับท่วงทำนองเพลงสั้นๆ ของแว็งเตย หรือยอดหลังคามาร์แต็งวีย์
อันที่จริง Deleuze ได้อธิบายไว้ตั้งแต่เบื้องแรกว่า เขาจงใจเลือกศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ‘สัญญะ’ ก็เพราะในงาน Proust มีการกล่าวถึง อ้างอิง และหยิบยกคำคำนี้ในหลายบทหลายตอน โดยเฉพาะเล่มสุดท้าย Time Regained
แน่นอนครับว่า เมื่อเราได้เริ่มๆ อ่านไป เราก็จะค้นพบได้ทันทีว่า ‘สัญญะ’ ของ Deleuze ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ ‘สัญญะ’ ของนักสัญศาสตร์-โครงสร้างนิยมในเวลานั้น สิ่งที่เป็นรากฐานความคิดในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของ ‘ความจริง’ ในรูปแบบของการตีความตามทัศนะของ Nietzsche และอิทธิพลความคิดเรื่องสัญวิทยาในกรอบอธิบายของนักปรัชญาอเมริกัน Charles Sanders Pierce
‘สัญญะ’ ในงาน Proust and Signs ผูกพันกับสิ่งที่เรียกว่า การสืบหา (recherche) ซึ่ง Deleuze ได้อธิบายไว้ว่า “ความรู้ในการสืบหาคือ สัญญะ ความหมาย และสารัตถะ ความต่อเนื่องของการฝึกหัดฝึกฝน และความไม่ต่อเนื่องของการเปิดเผย”
การสืบหาเวลาที่สาปสูญ (ในภาษาฝรั่งเศส ‘เวลา’ หรือ les temps อยู่ในรูปของพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษเป็นเอกพจน์) แท้จริงแล้วจึงอาจคือ การสืบหาความจริง (In Search of Truth) ในมิติต่างๆ ไปซึ่งก็ทำให้ In Search of Lost Time ในมุมมองของ Deleuze ไม่ใช่แค่นวนิยายที่ว่าด้วยการระลึกย้อนอดีต หรือเกี่ยวกับความทรงจำที่ถูกเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่เป็นนวนิยายของผู้ฝึกหัด (apprentice) ที่จะเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรม (man of letters)
การอ่าน In Search of Lost Time ในแบบทั่วไปจึงเป็นเหมือนการก้าวเดินตามแนวคิดแบบ Platonism ที่ว่า ‘การรู้’ และ ‘การเรียนรู้’ คือ ‘การจดจำได้’ แต่สำหรับ Deleuze นั้นความทรงจำ หรือการระลึกได้ของตัวละครมีบทบาท หรือเกี่ยวโยงกับการฝึกหัดฝึกฝน การเรียนรู้จึงมีทิศทางไปข้างหน้า และการสืบหาในที่นี้จึงมีทิศทางไปสู่อนาคตมากกว่าจะเป็นอดีต
ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้จึงคือการฝึกฝนในการอ่าน ‘สัญญะ’ ซึ่ง ‘สัญญะ’ นี้ไม่ใช่ความคิดเชิงนามธรรมเช่นที่ทั่วไปเข้าใจ แต่คือ ‘วัตถุ’ แห่งการศึกษา การเรียนรู้ เหมือนการฝึกฝนเป็นช่างไม้ที่อ่านการเข้าไม้แบบต่างๆ ได้ไม่ใช่แค่การอ่านสัญลักษณ์อันคลุมเครือ
เช่นเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริง’ Deleuze เห็นว่า โลกของปรัชญาผูกพันการค้นหา 'ความรักในความจริง' นั้นโรแมนติกมากเกินไป ซึ่งนวนิยายของ Proust ได้ชี้ให้เราเห็นว่า การอยากรู้ความจริงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอารมณ์-ความคิดอันเป็นด้านดีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในหลายครั้งมันคืออารมณ์อันรุนแรง เหมือนเช่นชายผู้หึงหวงที่อยากรู้ให้ได้ว่าหญิงคนรักของตัวเองโกหกอยู่หรือไม่
Deleuze ได้ย้ำให้เราเห็นด้านที่ไม่ได้ราบเรียบสวยงามของการสืบหาความจริง ซึ่งก็มีความสำคัญและจำเป็นด้วยเช่นกัน การอ่าน Proust ของ Deleuze จึงถูกมองว่า เป็นการโต้ตอบทั้งกระแสความคิดแบบโครงสร้างนิยม และแน่นอนที่สุด Hegelianism ที่สืบรากความคิดมาจาก Plato อีกชั้นหนึ่ง
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์เชื่อมโยงข้างต้นหรือไม่ แต่การอ่าน Proust ของ Deleuze นั้นย่อมถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่เขาแผ้วถางไปสู่การเขียนผลงานปรัชญาชิ้นสำคัญชิ้นแรกของเขา Difference and Repetition ที่ไม่เพียงแต่เป็นงานต่อต้าน Hegel แต่เป็นงานที่ Deleuze ลบความคิด dialectic ออกไปได้โดยสิ้นเชิง
• • •
Reference
[1] โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งผลงานของ Deleuze ออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ 1) ช่วงปรัชญาประวัติศาสตร์ 2) ช่วงของการสร้างระบบปรัชญา (ในช่วงที่เขียน Difference and Repetition) รวมถึงการเริ่มต้นเขียนงานร่วมกับ Guattari และ 3) การศึกษาด้านสุนทรียศาสตร์ (การเขียนถึงภาพยนตร์ ผลงานของ Francis Bacon) แต่โดยรากฐานแล้วไม่ว่าเราจะอ่านหรือศึกษาปรัชญาของ Deleuze ในทางใดก็ตาม สิ่งที่เราควรเน้นย้ำและไม่ควรลืมก็คือ Deleuze คือ Marxist ที่มุ่งไปสู่ความเปลี่ยนแปลง และมีความเป็นการเมืองในแทบทุกมิติ มันปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้นก็เมื่อเขาได้ทำงานร่วมกับ Félix Guattari ซึ่งชัดเจนว่าทั้งสองคนให้ความสนใจกับวรรณกรรมในฐานะกระบวนการผลิตที่สัมพันธ์กับความกลายเปลี่ยน หรือ becoming