Countdown


 

ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวทั้งก่อนและหลังวันขึ้นปีใหม่ เรามักนึกถึงอะไรใหม่ๆ การให้โอกาสปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ชดเชยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าด้วยการตั้งปณิธาน ความหวัง หรืออะไรก็ตามที่เป็นความคิดเกี่ยวกับ ‘การเริ่มต้น’ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกไม่ว่าจะชนชาติใดศาสนาใดต่างก็เห็นพ้องต้องกันในเรื่องว่า ชีวิตต้องมุ่งไปข้าง หน้าและไม่ว่าจะเป็นการมุ่งสู่ความซ้ำ หรือวงจรวนเวียน (Vicious Circle) อย่างความเชื่อในเรื่องกลับชาติมาเกิด หรือการอุบัติซ้ำชั่วนิรันดร์ (Eternal Return) ของฟรีดริค นิทเช่ (Friedrich Nietzsche) วงจรวนเวียนนี้ก็หมุนวนไปข้างหน้า ไม่หมุนย้อนกลับ หรือจะเห็นได้ชัดในกลุ่มชนที่เชื่อว่า ชีวิตเกิดมาหนเดียว (You Only Live Once) การมีชีวิตจึงเป็นเรื่องของการมุ่งไป ไม่ว่าเราจะหยุดอยู่กับที่ เดินถอยหลัง หรือหกคะเมนตีลังกา 

‘การแลไปข้างหน้า’ จึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นกับทุกคนบนพื้นผิวโลกนี้ เริ่มตั้งแต่การเกิด การแก่ และไม่ว่า จะเจ็บหรือไม่เจ็บ สุดท้ายเราก็ต้องตาย กระบวนการดังกล่าวนี้ ย้อนไม่ได้ ไม่มีใครเกิดมาอย่างเบนจามิน บัททอน หรือไม่มีใครมีดวงตาพิเศษสามารถหยั่งรู้อนาคตได้อย่างมหาเทพโอดิน (Odin) ในปกรณัมปรัมปราของยุโรปเหนือ ผู้สามารถมองเห็นวาระสุดท้ายของตนอย่างชัดแจ้ง การดำรงอยู่จึงคือการนับถอยหลังรอจุดจบดังกล่าวอย่างห้าวหาญ

แน่นอนว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ คงไม่มีใครสามารถย้อนวัย หรือเห็นแจ้งแก่ใจในวาระสุดท้ายแห่งตนได้ ดังนั้นการดำเนินชีวิตจึงมีลักษณะก้าวเดินเตาะแตะไปข้างหน้าขณะที่ ‘อนาคต’ เป็นสิ่งที่ถูกซ่อนหรือออำพรางอยู่ ‘ข้างหลัง’ ในนัยยะเดียวกับคำว่า ‘อนุชนรุ่นหลัง’ ซึ่ง ‘หลัง’ ของ ‘อนุชน’ เหล่านี้คือสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นกลุ่มบุคคลที่จะเกิด เติบโต ขึ้นในกาลข้างหน้า (หรือ ‘หลัง’ จากเรากลายเป็นเฒ่าชแรแก่ชรา หรือม้วยมรณ์ไปแล้ว)

ซึ่งพูดได้ว่า การแลไปข้างหน้าเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป และในโลกของปรัชญาความคิด แม้กระนั้นเราก็ไม่อาจหมิ่นแคลน ‘การแลไปข้างหลัง’ ว่าเป็นพฤติการณ์ของพวกชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะแท้จริงแล้ว การมองย้อนอดีตอันเป็นทิพยลักษณะของเทพีประวัติศาสตร์ในปกรณัมกรีก ซึ่งกล่าวกันอย่างผิวเผินที่ทิพยลักษณะนี้ช่วยให้เราสามารถตอบได้ว่า ตัวเองเป็นใคร?

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การ ‘แลไปข้างหน้า’ และ ‘แลไปข้างหลัง’ พร้อมๆ กัน มักสร้างอุปสรรคให้กับการใช้ชีวิต เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบทางตรงให้เราหาความสุข ในชีวิตได้ยากขึ้นแล้ว ยังส่งผลทางอ้อมให้เราสูญเสียสิ่งที่ เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ไป

‘ปัจจุบัน’ (present) ก็เป็นดั่งชื่อของมัน ปัจจุบันเป็น ‘ของขวัญ’ เป็นสิ่งที่เวลาหยิบยื่นให้แก่ชีวิตและสรรพสิ่ง ต่างๆ แม้จะมีนักปรัชญาบางคนเห็นว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ (Out of the Past) เพราะแค่เราพูดว่า ปัจจุบัน คำนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว) แต่ปัจจุบันก็มีคุณค่าในตัว ของมันเอง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่ามีที่ยืนอยู่ หรือไม่ได้หลงหายไปในความมืดมนอนธกาล

ขณะที่นักปรัชญาบางคนกลับเห็นไปว่า ปัจจุบันแท้จริงก็คือการประทุของอดีต (Blast of the Past) เป็นการแก้แค้น หรือจองเวรจองกรรมของกาลเวลาที่มีต่อมนุษย์ ซึ่งศิลปะแขนงหนึ่งที่แสดงภาพการล้างแค้นของเวลาได้ เป็นอย่างดีก็คือ ภาพยนตร์ (หรือความจริงที่ 24 เฟรมต่อ วินาที)

เป็นความจริงที่ว่า ภาพยนตร์นั้นสามารถแสดงภาพ กาลเวลาในลักษณาการต่างๆ ได้อย่างชัดเจน มันสามารถเร่งรัด ชะลอ หรือสามารถตัดข้ามเวลากลับไปกลับมาได้ จนเกือบจะถูกเรียกว่าเป็นจักรกลเวลา (Time Machine) แม้กระนั้น ภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีอิสระถึงขนาดตัดตัวเองออกจากพันธะผูกพันกับเงื่อนเวลา ที่กล่าวในอีกทางหนึ่งก็คือระยะเวลาที่หนังดำเนินไป (duration)

เวลาดังกล่าวนี้ เป็นเสมือนเส้นขีดคั่นแบ่งแยกความ แตกต่างสำคัญระหว่างเวลาในเรื่องราวและเวลาของผู้ชม (ซึ่งอยู่ในนาฬิกาบนข้อมือ นาฬิกาหน้าโรงหนัง ในห้อง ขายตั๋ว ฯลฯ) และเน้นย้ำความจริงที่ว่าชีวิตของคนเรานั้น ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้

เพียงแต่ถ้าจะมีการย้อนกลับ มันก็คงเป็นการการนับ ถอยหลังให้กับชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าเราส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ว่า ควรเริ่มจากจำนวนใด

การนับถอยหลังคืออะไร? การนับถอยหลังคือการ มองเวลาในฐานะของพื้นที่ (space) คือการมองการดำรง อยู่ในฐานะของสิ่งที่มีวันหมดอายุ (expiry date) ในทาง ประวัติศาสตร์ความคิด การนับถอยหลังเป็นเรื่องใหม่ หรือเป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้น ศตวรรษที่ 20 ซึ่งปรากฏต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เงียบ Frau im Mond (1929) ของผู้กำกับชาว เยอรมันฟริทซ์ ลังก์ (Fritz Lang) และเริ่มมีบทบาทสำคัญ อีกครั้งในห้วงเวลาของการสิ้นสุดสหัสวรรษ (Millennium) ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนด้วยความเชื่อ ที่ว่านาฬิกาในคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ทุกชนิดจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนและสร้างปัญหาระดับ ทไลายล้างโลก เช่น หัวรบนิวเคลียร์ถูกส่งออกไปเองโดย อัตโนมัติ ประตูเขื่อนเก็บกักน้ำเปิดระบายโดยไม่มีใคร สามารถควบคุม และหายนะภัยอันเกิดจากความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีอีกมากมาย

แต่กระนั้นก็คงมีเพียงนักปรัชญาผู้ล่วงลับ ฌ็อง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) ที่มองการนับถอยหลัง ในแง่ร้ายยิ่งกว่า เขาได้อธิบายความคิดในเรื่องนี้เอาไว้ว่า “การนับถอยหลังเป็นรหัสแห่งการอันตรธานของโลกใบนี้”

ในแนวคิดของโบดริยารด์ การนับถอยหลังในห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง มิได้เป็นเพียงภาพลวงตาแห่งการเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด หากแต่มันทำลายการมีอยู่ของการเริ่มต้นและการสิ้นสุดนั้น หรือเป็นดั่งที่นักเขียนผู้โด่งดัง อีเลียส คาเนติ (Elias Canetti) ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อถึงจุด ที่ประวัติศาสตร์ปราศจากความจริง และมวลมนุษย์ละทิ้ง ความจริงไปโดยไม่รู้ตัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจริงอีกต่อไป หากเราไม่อาจตระหนักได้… และตราบเท่าที่เรายังไม่รู้…ในจุดนั้น เราจะถูกยัดเยียดให้ยอมรับการทำลายล้างโลกปัจจุบัน”

• • •

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods