Why Some People Become Lifelong Readers?


เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนถึงชอบอ่านหนังสือ ในขณะที่หลายคนกลับไม่ชอบแม้แต่จะหยิบจับมาเปิดดูเอาเสียเลย?

เราอาจจะคาดเดา หรือสังเกตคนกลุ่มแรกนี้ได้จากถุงผ้าที่สะสมตามงานเทศกาลหนังสือ หรือไม่ก็สติกเกอร์ที่ติดตามขวดน้ำพกพาว่า “คนรักหนังสือ” (Book Lover) ไหนจะแก้วกาแฟของสะสมจากร้านหนังสืออิสระ หรือ ที่สังเกตง่ายที่สุดคือจากปึกกระดาษที่ถูกเย็บเล่มเป็นเล่มหน้าปกหลากสีที่พวกเขาถืออยู่ในมือ วางอยู่บนตัก หรือพกอยู่ในกระเป๋า จะเรียกให้เฉพาะเจาะจงที่สุด ก็คือ "หนังสือ" ของ “เหล่านักอ่าน” นั่นเอง

การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์นักอ่านนี้ดูเหมือนแสนจะง่ายดาย ก็เพียงแค่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แค่นี้เราก็ได้เข้ากลุ่มแล้ว! เอาเข้าจริง เราไม่จำเป็นต้องมีถุงผ้าที่มีข้อความเชิดชูการอ่าน หรือแก้วกาแฟจากร้านหนังสืออิสระเสียด้วยซ้ำ

นอกเหนือจากขั้นตอนง่าย ๆ ที่ว่านี้ยังมีคำถามมากมายถึงแรงจูงใจที่ซุกซ่อนอยู่ ว่าทำไมบางคนถึงเติบโตขึ้นมาแล้วรู้สึกเพลิดเพลินกับการอ่านอย่างมาก การอ่านคือขนมหวานทานเพลิน ในขณะที่บางคนการอ่านนั้นคือผักขมรสฝาดลิ้น เป็นกิจกรรมที่ไม่สนุก และถึงกับทุกข์ใจเอามาก ๆ หากต้องให้อ่านอะไรยาว ๆ ราวกับว่าถูกลงโทษก็ไม่ปาน

คำถามนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง (แน่นอน สำหรับบางคนอาจจะมองว่าไม่เห็นจะสำคัญเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่ยังไงก็อยากให้ลองอ่านต่ออีกสักนิด เผื่อเราจะได้เข้าใจกันมากขึ้น) อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า การอ่านเพื่อความบันเทิงนั้นเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ที่ดีทั้งในด้านการเรียนรู้ การพัฒนาสมอง ความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังส่งเสริมการงานในสายอาชีพที่หลากหลาย รวมถึงส่งผลดีต่อสุขภาพจิตใจ เสริมสร้างสมาธิในระยะยาว และอีกมากมาย บลา บลา บลา

และถึงแม้การอ่านจะให้ทั้งพลังชีวิตและเยียวยาผู้อ่านราวกับมีพลังวิเศษที่บรรจุในรูปเล่มแผ่นกระดาษ หรือตัวอักษรบนหน้าจอ ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงปรารถนา หรือมีแรงดึงดูดมากเพียงพอที่จะเชื้อเชิญให้คนหันมาอ่านมากขึ้นอยู่ดี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นิสัยรักอ่านสร้างได้ไหม?  สร้างได้อย่างไร? 

วันนี้จะชวนมาอ่านบทความใน The Atlantic: Why Some People Become Lifelong Readers เขียนโดย Joe Pinsker (2019)* ที่ได้ให้เหตุผลเบื้องต้นถึงปัจจัยหลักในการสร้างความชอบหรือทำให้คน ๆ นึงรักการอ่านได้นั้นดูเหมือนจะมาจากลักษณะครอบครัวที่เติบโตมา หรือมีวัฒนธรรมการอ่านที่พ่อแม่ ผู้ปกครองสร้างขึ้นภายในบ้าน

*ข้อมูลจากบทความต่อจากนี้สะท้อนภาพแค่สังคมอเมริกัน และมีข้อจำกัดของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาและการสัมภาษณ์ ชุดข้อมูลอาจไม่สะท้อนทุกมิติ แต่ก็ให้ภาพรวม และความน่าจะเป็นที่น่าพิจารณาไม่น้อย

 

พฤติกรรมการอ่านและข้อมูลเชิงสถิติ 

 

ขนาดกลุ่มตัวอย่างของนักอ่านในอเมริกานั้นมีความแตกต่างกันไปตามคำจำกัดความการอ่านของแต่ละคน จากข้อมูลของ National Endowment for the Arts (NEA) ในปี 2017 ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 53% (ราว 125 ล้านคน) อ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มโดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนหรือการทำงานในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ห้าปีก่อนหน้านั้น (ปี 2012) NEA ได้ทำการสำรวจที่ละเอียดลงไปอีก และพบว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 23% เป็นนักอ่าน "ระดับน้อยเล่ม" (อ่านหนังสือ 1 ถึง 5 เล่มต่อปี), 10% เป็นนักอ่าน "ระดับปานกลาง" (อ่าน 6 ถึง 11 เล่มต่อปี), 13% เป็นนักอ่าน "ระดับประจำ" (อ่าน 12 ถึง 49 เล่มต่อปี), และ 5% เป็นนักอ่าน "ระดับตัวยง" (อ่าน 50 เล่มขึ้นไปต่อปี)

“ในทุกสังคมจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่เพียงน้อยนิดไปจนถึงครึ่งหนึ่งของของประชากรผู้ใหญ่ ที่ใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือเป็นจำนวนมาก” Wendy Griswold นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัย Northwestern ได้สรุปไว้ จากการศึกษาเรื่องการอ่าน เธอเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "ชนชั้นนักอ่าน" (The Reading Class) และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของ NEA และอัตราการอ่านอย่างจริงจังในประเทศที่ร่ำรวยอื่น ๆ เธอประเมินอย่างคร่าวๆ ว่า มีเพียง 20% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เท่านั้นที่อาจจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นนักอ่านนี้ เธอกล่าวว่า สัดส่วนของประชากรชาวอเมริกันที่มีคุณสมบัติเป็นนักอ่านตัวยงนั้นเติบโตขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นยุคที่การอ่านเป็นไปได้ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพิมพ์ ก่อนที่จะลดลงอย่างรวดเร็วอย่างน่าตกใจเมื่อเทคโนโลยีอย่างทีวีเข้ามาแทนที่ และโดยไม่ต้องคาดเดาว่าเมื่อสมาร์ตโฟนถือกำเนิดขึ้น จำนวนของนักอ่านตัวยงลดลงมากแค่ไหน 


ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เชื้อชาติ และบุคคลิกภาพ

 

คนบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนักอ่านมากกว่าคนอื่น ๆ "รูปแบบพฤติกรรมนี้คาดเดาได้ไม่ยาก" Griswold ยืนยันจากข้อมูล ข้อสังเกตแรกและเป็นธรรมชาติที่สุด คือยิ่งคนมีการศึกษาสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นนักอ่านมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ เธอยังกล่าวอีกว่า "คนเมืองอ่านมากกว่าคนชนบท" "ความมั่งคั่งสัมพันธ์กับการอ่าน" และ “เด็กผู้หญิงเริ่มอ่านเร็วกว่าเด็กผู้ชาย และอ่านมากกว่า รวมถึงคงอ่านไปจนถึงวัยผู้ใหญ่"

มาถึงตรงนี้ เราอาจสังเกตได้ว่า ชนชั้นทางเศรษฐกิจมีผลต่อการเข้าถึงหนังสือ แรงจูงใจ และที่สำคัญ คือ “เวลาว่าง”

เวลาว่าง หรือ เวลาพักผ่อนที่มีเพียงน้อยนิด ของชนชั้นแรงงาน รวมถึงชนชั้นกลางอย่างเรา ๆ ทั่วไปถูกเลือกไปใช้ในกิจกรรมอื่นที่ดูน่าดึงดูดกว่าการอ่านหนังสือ 

ในบทความยังวิเคราะห์ไปถึงประเด็นด้านเชื้อชาติ จากข้อมูลของ NEA ชี้ว่า 60% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันผิวขาวอ่านหนังสือในปีที่ผ่านมานอกเหนือจากการใช้เวลาไปกับการทำงานหรือการเรียน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าชาวแอฟริกันอเมริกันที่ใช้เวลาอ่านที่ 47% ในขณะที่ชาวเอเชียอ่านที่ 45% และชาวฮิสแปนิกใช้เวลาไปกับการอ่านเพียง 32% (จากข้อมูลนี้ Pinsker ผู้เขียนบทความมองว่า ความสัมพันธ์เหล่านี้บางส่วนอาจสะท้อนถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างระดับการศึกษาและการอ่าน)

แน่นอนว่าการมีคุณลักษณะใด ๆ ไม่ว่าจะมีผิวขาว มีฐานะมั่นคง การศึกษาสูง หรือเวลาว่างอันล้นเหลือ ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าใครจะกลายเป็นนักอ่านตลอดชีวิตหรือไม่ 

Pinsker จึงพาเราไปสำรวจปัจจัยอื่น ๆ เช่น บุคลิกภาพ (Personality) ว่ามีบทบาทต่อการอ่านหรือไม่

“หากคุณมีบุคลิกภาพแบบ Introvert คุณจะมีแนวโน้มที่จะอ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอื่น แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น" Daniel Willingham ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย (University of Virginia ) กล่าวกับ Pinsker ไว้อย่างกว้าง ๆ ซึ่งนั่นก็อาจแปลได้ว่า ปัจจัยด้านบุคลิกภาพมีผลต่อการอ่านไม่มากนัก หรือ การเป็นคนชอบอ่านหนังสือก็อาจไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนแบบไหน

 

ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่บ้าน


ศาสตราจารย์ Willingham พูดถึงความสำคัญของจำนวนหนังสือในบ้านยามที่เราเป็นเด็ก ซึ่งนักวิจัยหลายคนได้ศึกษาไว้แล้ว อย่างในหัวข้อการศึกษาที่ดูเรื่อง "วัฒนธรรมเชิงวิชาการในครอบครัว" (family scholarly culture) พบว่าเด็กที่เติบโตมาโดยมีหนังสือล้อมรอบมีแนวโน้มที่จะสำเร็จการศึกษาสูงขึ้นและเป็นนักอ่านที่ดีกว่าเด็กที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีหนังสือ  ถึงแม้จะควบคุมปัจจัยด้านการศึกษาของพ่อแม่แล้วก็ตาม

แต่… เดี๋ยวก่อน ก่อนที่จะคิดเอาง่าย ๆ ว่า ถ้าเช่นนั้น เราก็แค่เอาหนังสือมาวางไว้เยอะ ๆ รอบ ๆ ตัวเด็กก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่ไหม? ศาสตราจารย์ Willingham ได้ดับฝันพ่อแม่ที่เน้นซื้อของให้ลูกแล้วคาดหวังว่าจะมีความมหัศจรรย์เกิดขึ้นในทันที เพราะการมีหนังสือวางกองอยู่เฉย ๆ ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไร หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า จู่ ๆ การมีหนังสือกองใหญ่จะทำให้เด็กจะรักการอ่านขึ้นได้เอง มันเป็นไปไม่ได้ ศาสตราจารย์ Willingham ได้ขยายความในส่วนนี้ไว้ว่า "ผมเลือกเด็กคนหนึ่งที่เรียนไม่ค่อยเก่ง แล้วเอาหนังสือ 300 เล่มไปไว้ในบ้านของเขา คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นไหม? คำตอบที่ได้มา คือแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เด็กคนนั้นยังคงเรียนไม่เก่งเหมือนเดิม ดังนั้นแล้วการศึกษานี้ต้องการจะบอกอะไร? คำตอบอย่างสั้นๆ ก็คือคนเรากำลังทำอะไรกับหนังสือเหล่านั้นกันแน่? หนังสือคืออะไรในชีวิตของพวกเขา? นี่เป็นเหมือนการวัดอุณหภูมิของชุดทัศนคติ พฤติกรรม (ต่อหนังสือและการอ่าน) และการลำดับความสำคัญ (priorities) ที่ซับซ้อนและเฉพาะตัวมากในบ้านหลังนั้นๆ” 

พออ่านมาถึงตรงนี้ เดาว่าพ่อแม่หลายคนอาจเกิดความรู้สึกขัดใจที่ยังไม่ได้คำตอบที่อยากรู้เสียทีว่า ถ้ามีหนังสือวางกองเยอะ ๆ รอบ ๆ บ้านนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กหันมาอ่านหนังสือเอง แล้วอะไรที่จะช่วยให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน? ขอให้อดใจอ่านต่ออีกนิด สิ่งที่ตามหานั้นกำลังรออยู่ในย่อหน้าถัดไป


สามปัจจัยสู่การเป็นนักอ่านตลอดชีวิต  


ศาสตราจารย์ Willingham อธิบายในหนังสือของเขา “Raising Kids Who Read: What Parents and Teachers Can Do” พบว่ามีสามตัวแปรหลักที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการที่เด็กบางคนจะกลายเป็นนักอ่านตลอดชีวิตหรือไม่ 

ประการแรก เด็กจะต้องเป็น "นักอ่านที่คล่องแคล่ว" หมายถึง ความสามารถในการ "ถอดรหัสตัวอักษรบนหน้ากระดาษให้เป็นคำในใจได้อย่างราบรื่น" (fluent decoder) ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนสอน แต่พ่อแม่สามารถช่วยได้ด้วยการอ่านออกเสียงให้ลูกฟังและอ่านไปพร้อมกับลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการอ่านนั้นเกี่ยวข้องกับการเล่นคำ ซึ่งช่วยให้เด็กรับมือกับความท้าทายในการระบุ "เสียงพูดแต่ละส่วน" ที่ประกอบเป็นคำได้

ประการที่สอง นักอ่านที่คล่องแคล่วเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการมีความรู้รอบตัวที่กว้างขวาง "ตัวชี้วัดหลักที่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเข้าใจเนื้อหาหรือไม่ คือพวกเขารู้เกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน" ศาสตราจารย์ Willingham ตั้งข้อสังเกตไว้ ดังนั้นพ่อแม่จึงสามารถพยายามมอบข้อมูลเกี่ยวกับโลกที่จะช่วยให้ลูกตีความสิ่งที่พวกเขาอ่านได้ หรือช่วยให้ลูกคุ้นเคยกับสิ่งที่พวกเขากำลังอ่านอยู่บ้าง

เมื่อสองปัจจัยแรกเป็นฐานที่มั่นคงแล้ว องค์ประกอบสุดท้ายคือ “แรงจูงใจ" พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องมีทัศนคติเชิงบวกต่อการอ่านและมีภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนักอ่านด้วย ศาสตราจารย์ Willingham ย้ำในประเด็นนี้  “เราอยากให้ลูกอ่านหนังสือ ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยหยิบหนังสือมาอ่านให้ลูกเห็นเลย แล้วลูกจะเรียนรู้ตัวอย่างการอ่านจากไหน?” 

ปัจจัยที่สามนี้เป็นหัวใจหลักของหนังสือ How to Raise a Reader ซึ่ง Pamela Paul บรรณาธิการ ของ The New York Times Book Review และ Maria Russo บรรณาธิการหนังสือเด็กของ NYTBR ก็เห็นตรงกันว่า  “พ่อแม่หลายคนเครียดกับงานวิจัยมากมายที่กล่าวว่าการอ่านเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ความสำเร็จทางวิชาการ, ความสำเร็จในการทำข้อสอบ, การทำงานของผู้บริหาร และความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์" Paul เห็นว่า "การรู้เรื่องทั้งหมดนั้นทำให้พ่อแม่คิดว่า “โอเค ลูกของฉันต้องเป็นนักอ่าน'" ทัศนคตินั้นอาจทำให้พวกเขามองว่าการอ่านให้ลูกฟังเป็นภาระหน้าที่ซึ่ง “เด็ก ๆ รับรู้ถึงภาระ ความเครียดนั้นได้ทันที ตัวอย่างเช่น เด็ก ๆ รู้ว่าคุณกำลังพยายามแกมบังคับให้พวกเขาได้กินอะไรที่ดีต่อสุขภาพ อย่างพวกผักต่าง ๆ” ดังนั้นหากคุณบังคับตัวเองด้วยความยากเย็นที่จะนั่งอ่านหนังสือให้ลูกเห็น หรืออ่านออกเสียงให้พวกเขาฟัง เด็กย่อมมองเห็นว่าการอ่านเป็นกิจกรรมท่ีไม่สนุก และไม่มีความสุขเอาเสียเลย Paul ยังกล่าวเสริมอีกว่า จุดมุ่งหมายคือการนำเสนอการอ่านนั้น ไม่ใช่การทำให้หนังสือมีภาพลักษณ์เป็น "ผักโขมรสขมมีประโยชน์" แต่ต้องเป็น "เค้กช็อกโกแลตแสนอร่อย" ต่างหากล่ะ

 

การอ่านจะดูเหมือนเค้กช็อกโกแลตมากขึ้นทันที หากเป็นสิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ในบ้านเองก็ทำอย่างมีความสุขและสม่ำเสมอเช่นกัน 

 

"เมื่อฉันนั่งอยู่บนโซฟา อ่านหนังสือ และลูก ๆ ก็กำลังทำในสิ่งที่พวกเขาทำ ฉันชอบที่จะคิดว่า ตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าที่พ่อแม่ พวกเขาเห็นฉันกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่'" Russo กล่าวย้ำแนวคิดนี้ในทำนองเดียวกัน Paul ที่เสริมว่า ถ้า "หลังจากอาหารเย็น หากสิ่งแรกที่คุณทำคือไถโทรศัพท์มือถือ, เปิดแล็ปท็อป, หรือดูทีวี" พ่อแม่กำลังส่งข้อความถึงลูก ๆ ตลอดเวลาด้วยวิธีที่พวกเขาเลือกใช้เวลาว่างไปกับอะไร เด็ก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะรับรู้และเรียนรู้ในทันทีว่า กิจกรรมยามว่าง หรือกิจกรรมเพื่อความบันเทิงในบ้านนั้น คืออะไร 

ข้อเท็จจริงที่ว่าสังคมเล็ก ๆ  ภายในบ้าน ที่มีพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ และเป็นทั้งผู้นิยามและกำหนด (โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ว่าควรจะทำอะไรในยามว่างหรือกิจกรรมใดผูกโยงกับความสุขและความผ่อนคลาย สามารถเชื่อมโยงไปยังสังคมภายนอก เวลาที่เราอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เราต่างก็มีอิทธิพลต่อกัน ต่างเป็น peer influence ให้กันและกัน เราต่างเรียนรู้และทำตามกัน ดังที่สามารถสังเกตเห็นได้ว่า ในสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านในทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะรอรถตามป้ายรถเมล์ ในสถานีรถไฟ หรือตามสวนสาธารณะ ล้วนทำให้การอ่านนั้นดูเป็นมิตร เข้าถึงง่ายและทำตามได้ไม่ยาก

มาถึงตรงนี้ ผู้ปกครองหลายคนอาจเริ่มมีความกังวลใจ ด้วยเพราะอาจไม่ใช่สายอ่านแต่อ้อนแต่ออก หรือรู้สึกว่าไม่มีเวลาจะหยิบหนังสือมาอ่านให้ลูกเห็น ทั้ง Paul และ Russo ต่างเข้าใจข้อจำกัดนี้ดี และให้คำแนะนำที่ทำตามได้ไม่ยากไว้ว่า พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักอ่านตัวยงตั้งแต่เด็กเพื่อเลี้ยงดูลูกให้เป็นนักอ่านตัวยงอีกรุ่น ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่พ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถช่วยสร้างนักอ่านรุ่นใหม่ได้ หรือเพียงแค่ช่วยให้การอ่านดูน่าตื่นเต้น น่าดึงดูดและมีคุณค่าในสายตาของเด็ก ๆ เช่น ชวนพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือเล่มที่เด็กกำลังอ่านระหว่างมื้ออาหารหรือตอนอยู่ในรถ เพื่อให้เด็กเห็นว่าหนังสือเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในการสนทนาพอ ๆ กับเรื่องราวในแต่ละวัน การพาเด็ก ๆ แวะเยี่ยมชมห้องสมุดหรือร้านหนังสือเป็นประจำ และใช้เวลาอยู่ที่นั่นสักพัก หรือการให้หนังสือเป็นของขวัญก็ช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อหนังสือได้เช่นกัน

Russo กล่าวปิดท้ายถึงการอ่านว่าเป็น "ระบบส่งมอบความสุขส่วนตัว" (private pleasure-delivery system) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีคิดหลักในการทำให้เด็กๆ อ่านหนังสือ ”ถึงแม้การอ่านหนังสือจะมีประโยชน์มากมายและส่งผลลัพธ์มหาศาลต่อชีวิตในอนาคต ซึ่งพ่อแม่หลายคนตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การพร่ำบอก หรือบังคับให้เด็กอ่าน แต่ควรอยู่ที่การช่วยให้เด็กๆ ค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของการอ่านด้วยตนเอง และหลังจากนั้น สิ่งดี ๆ อื่น ๆ ก็จะตามมาเองในที่สุด”

แม้ตัวบทความนี้จะไม่ได้ครอบคลุมการอ่านผ่านช่องทางออนไลน์หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ และไม่ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยในการสร้างนักอ่านรุ่นใหม่ในยามที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หากเราไม่ได้โตมาในครอบครัวที่มีวัฒนธรรมการอ่าน เราจะเป็นนักอ่านตลอดชีวิตไม่ได้ ดังที่ศาสตราจารย์ Willingham ได้ตั้งคำถามและศึกษาในงานวิจัย เราเพียงต้องถามตัวเราเองก่อนว่า หนังสือคืออะไรในชีวิตของเรา? เรามีทัศนคติต่อการอ่านและหนังสืออย่างไร? เราให้เวลากับการอ่านมาอยู่ในชีวิตประจำวันได้ไหม? 

การเริ่มต้นอาจเป็นเพียงหยิบปึกกระดาษเย็บเล่มทั้งหนาบางที่มีอยู่ มาพลิกอ่านดู จากหน้าสองหน้า กลายเป็นการทยอยอ่านหนังสือกองดองที่สะสมอยู่ หรือพาตัวเองไปร่วมกิจกรรมอ่านกลุ่ม (Reading Group) เข้าร่วมชมรมหนังสือ (Book Club) ที่ชวนสนทนาถึงหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปก็ล้วนเป็นแรงเสริมที่ช่วยให้การเดินทางเป็นนักอ่านของเราไม่โดดเดี่ยวไปนัก

เราจะไม่ถามว่า วันนี้คุณอ่านหนังสือแล้วหรือยัง แต่จะถามว่า วันนี้คุณอ่านอะไร มาแบ่งปันชื่อหนังสือ บทความและเรื่องราวที่อ่านกันได้นะ 

• • •

Reference

Pinsker, Joe. "Why Some People Become Lifelong Readers and Others Don’t." The Atlantic (September 24, 2019).

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods