Venceréis, pero no convenceréis

มิเกล เดอ อูนามูโน (Miguel de Unamuno) เป็นนักปรัชญาชาวบาสก์ที่ชีวิตมีสีสันและความผันผวน เขาอยากเป็นอาจารย์สอนปรัชญาในมหาวิทยาลัย แต่การเมืองข้างในทำให้เขาได้เป็นแค่อาจารย์สอนวรรณคดีกรีก 

ในเชิงอุดมการณ์ต้องกล่าวว่าอูนามูโนเป็นเสรีนิยม (liberal) ในความหมายของการให้ความสำคัญกับเสรีภาพ และการพัฒนาตนเองของปัจเจกชน สังคมจะเปลี่ยนแปลงได้ปัจเจกต้องมีเสรีภาพ เช่นนั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยกับสังคมนิยม (Socialism) กลุ่มฝ่ายซ้ายในสเปน ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) แต่ตัวเขาเคยสนับสนุนเผด็จการฟรังโก (Francisco Franco) ด้วยเพราะเห็นว่า สามารถยับยั้งความวุ่นวายจากสงครามกลางเมืองได้ (ซึ่งถือเป็นตราบาปที่ติดตัวอูนามูโนไปจนสิ้นลมหายใจ)

อูนามูโนเห็นว่า มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ในความทรงจำ ทั้งที่อยู่ในตัวของเราเอง คนรอบข้าง และความทรงจำทางสังคม ผ่านประวัติศาสตร์ และประเพณีวัฒนธรรมทั้งหลาย

ใน Tragic Sense of Life หนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญของเขา อธิบายว่าว่าโดยรากแล้ว ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และความขัดแย้งนั้นคือความเป็นโศกนาฏกรรมที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มนุษย์ของอูนามูโน ไม่ใช่สัตตะแห่งเหตุผล และเหตุผลอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์เท่ากับความรู้สึกและอารมณ์ เพราะมนุษย์โดยแท้จริงเป็น ‘สัตตะแห่งความรู้สึก’

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้เกิดวิวาทะระหว่างอูนามูโน (ขณะดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัย Salamanca) กับโฮเซ่ มิยาน อัสตรัย (José Millán Astray) นายทหารคนสนิทของฟรังโก ในวันที่ 12 ตุลาคมปี 1936 ในช่วงงานเฉลิมฉลองการค้นพบทวีปอเมริกา ที่ได้เชิญบุคคลสำคัญมาพูดที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย Salamanca

ในงานวันนั้น โฮเซ่ มาเรีย เพมาน (José María Pemán) นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ผู้สนับสนุนแนวคิดฟาลังจิสต์ (Falangist) อันเป็นลัทธิเผด็จการของสเปนที่เชิดชูศาสนา สถาบันกษัตริย์ ความเป็นชาตินิยม และต่อต้านแนวคิดแบบสังคมนิยม ได้กล่าวปาฐกถาปลุกเร้าผู้ฟังที่ส่วนหนึ่งเอนเอียงไปทางอนุรักษนิยมให้รู้สึกหึกเหิม ตามมาด้วยฟรันซิสโก มัลโดนาโด (Francisco Maldonado) อาจารย์ฝ่ายอนุรักษนิยม-ชาติเชื้อนิยมที่กล่าวประณามชนชาติบาสก์และคาทาลันว่าเป็นมะเร็งร้ายของสเปน และมีเพียงลัทธิฟาสซิสม์เท่านั้นที่จะช่วยรักษา คำกล่าวนี้เองทำให้ผู้ฟังในห้องประชุมตะโกนคำขวัญของสเปน "¡Viva la Muerte!" หรือ “ความตายจงเจริญ” แล้วมิยาน อัสตรัยก็กล่าวตอบเสียงนั้นว่า "¡España!" หรือ “สเปน!” แล้วผู้ฟังกลุ่มดังกล่าวก็ตะโกนกลับว่า “"¡Una!" หรือ “หนึ่งเดียว” มิยาน อัสตรัยก็กล่าวตอบว่า "¡España!" และผู้ฟังกลุ่มก็ตะโกนต่อไปว่า "¡Grande!" หรือ “ยิ่งใหญ่!” มิยาน อัสตรัยก็กล่าวปิดท้ายว่า "¡España!"

เรียกได้ว่า ไฟของผู้นิยมเผด็จการลุกโหม ถึงขนาดทำให้บางคนยืนทำการสดุดีภาพของฟรังโกที่อยู่ในหอประชุม

จากนั้นอูนามูโนที่เหมือนอดทนฟังอยู่นานก็ลุกขึ้นกล่าว โดยเริ่มจากการเท้าความก่อนว่า เขาเป็นชาวบาสก์ และบิชอปที่มาร่วมงานในวันนั้นก็เป็นชาวคาทาลันที่เกิดในบาเซโลนา อูนามูโนได้เน้นย้ำว่า เขาได้อุทิศชีวิตเพื่อเขียนถึง ‘ความย้อนแย้ง’ และข้อเขียนของเขาก็สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ แล้วอูนามูโนก็พูดว่า พลเอกมิยาน อัสตรัยนั้นเป็นคนพิการ (เขาคงไม่สามารถพูดมันออกมาแบบกระซิบกระซาบ) และทุกวันนี้สเปนก็เต็มไปด้วยคนพิการ (จากสงคราม) และหากพระเจ้าไม่ปรานีสเปนก็อาจจะต้องมีคนพิการมากกว่านี้ มันห้ามไม่ได้ที่เขาจะคิดว่า การที่มิยาน อัสตรัยเป็นเช่นนี้ คือพยายามเป็นผู้นำความคิดคนจำนวนมากก็เพราะพิการ ผู้พิการที่ขาดจิตวิญญาณแบบเซร์บันเตส (Cervantes) ก็คือผู้ต้องการสร้างคนพิการมากมายรอบตัวเขา

แน่นอนว่า คำโต้ตอบของอูนามูโนนั้นถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับปัจจุบัน (ขอให้ผู้ยึดถือความถูกต้องทางการเมืองจงให้อภัย) และมันก็สร้างความหงุดหงิดใจแก่มิยาน อัสตรัยจนต้องตะโกนตอบไปว่า “ขอให้ปัญญาตายไปเสีย! ความตายจงเจริญ!” ส่วนมัลโดนาโดที่ประณามชนชาติบาสก์และคาทาลันก็กล่าวผสมโรงไปว่า “ไม่! ขอให้ปัญญาจงเจริญ ปัญญาชนเลวทั้งหลายจงตายไปเสีย!”

ตรงนี้เองได้กลายเป็นที่มาของคำกล่าวสำคัญของอูนามูโน (ผู้ไม่ PC) ว่า “หาว่านี่คือวิหารแห่งความรู้ ตัวข้าพเจ้านั้นก็คือผู้นำนักบวช พวกท่านได้ก้าวล่วงความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ พวกท่านอาจชนะ เพราะพวกท่านมีอำนาจทมิฬจึงเอาชนะเราได้ แต่พวกท่านเปลี่ยนใจเราไม่ได้ (Venceréis, pero no convenceréis) เพราะการเปลี่ยนใจจำเป็นต้องใช้การโน้มน้าวใจ และการโน้มน้าวใจต้องใช้สิ่งที่พวกท่านขาดไป นั่นคือเหตุผล และสิทธิในการแข็งขืน” จากนั้น มิยาน อัสตรัยก็สั่งให้คนพาตัวอูนามูโนออกไป

เนื่องจากไม่มีการบันทึกเสียง หรือภาพ ทุกอย่างในเหตุการณ์มาจากปากคำที่บอกเล่าปากต่อปาก ดังนั้นนักประวัติศาสตร์ในชั้นหลังอย่างเซบาริยาโน เดลกันโด (Severiano Delgado) จึงพยายามกลับไปสิบค้นข้อมูลความจริง และทำให้ได้พบภาพถ่ายในช่วงหลังจากพิธีการเสร็จสิ้นลง ซึ่งภาพใบนั้นมีทั้งอูนามูโน และมิยาน อัสตรัย รวมถึงแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆ ปรากฏอยู่ เดลกันโด จึงคิดว่า เรื่องราวความขัดแย้งในหอประชุมระหว่างอูนามูโนกับมิยาน อัสตรัย แม้จะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ถูกใส่สีใส่ไข่ไปมาก อย่างน้อยที่สุดก็คือ ลุยส์ ปอร์ติโย (Luis Portillo) ผู้เขียนบทความแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และจอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ที่ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่งลงในวารสารวรรณกรรม Horizon ในชื่อประมาณว่า บรรยายวิชาสุดท้ายของอูนามูโน ที่พยายามทำแบ่งแยกฝักฝ่าย และทำให้การโต้เถียงกันระหว่างความคิดแบบเผด็จการกับเสรีนิยมชัดเจนขึ้น ผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้น

ใน Žižek's Jokes ที่รวมเรื่องตลกของชิเชก (Slavoj Žižek) ในหนังสือและบทความต่างกรรมต่างวาระยังได้เท้าความถึงคำกล่าว Venceréis, pero no convenceréis (You will conquer, but you will not convince) ของอูนามูโน โดยยกตัวอย่างเรื่องของชาวบ้านที่ถูกทหารบุกมาปล้นและกระทำชำเราภรรยาของเขา โดยทหารได้สั่งชาวบ้าน (ผู้เป็นสามี) ให้ช่วยเอามือรองอัณฑะไว้ไม่ให้เปรอะดินระหว่างกำลังข่มขืน จนเมื่อเสร็จกิจ ทหารได้จากไป ชาวบ้านผู้นั้นก็กระโดดโลดเต้นดีใจ จนภรรยาต้องถามว่า เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร พวกเขาถูกปล้น และเธอก็เพิ่งถูกข่มขืน จะดีใจอะไร จากนั้นชาวบ้าน (ผู้เป็นสามี) ก็ตอบไปว่า ไม่เห็นหรอกหรือว่า เขาได้แก้แค้นให้เธอด้วยการทำให้อัณฑะของทหารนั่นเปรอะดินที่อยู่กับมือของเขา

เรื่องตลกสัปดนของชิเชกพยายามชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้กับที่ Salamanca ในวันที่ 12 ตุลาคมปี 1936 มีความเกี่ยวโยงกันอยู่ตรงที่ทุนนิยมมีอำนาจมากพอเอาชนะเราทุกคนได้ และเราก็อาจพูด หรือเชื่อในคำพูดของอูนามูโนที่ว่า “เพราะพวกท่านมีอำนาจทมิฬจึงเอาชนะเราได้ แต่พวกท่านเปลี่ยนใจเราไม่ได้” แต่นั่นก็ไม่ต่างจากมุกตลกเรื่องทหารกับชาวบ้าน การคิดว่า พวกเขาเปลี่ยนใจเราไม่ได้ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าคำปลอบใจเราเอง หรือถ้าหากเราไม่คิดจะสู้ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไป เราก็คงจะไม่ต่างจากชาวบ้านที่คิดว่าการยกอัณฑะให้ทหารเป็นการโต้ตอบที่สมเหตุสมผลเพียงพอแล้ว

• • •

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods