The Weeping Philosopher

ชีวิตพิศวงของ Heraclitus
Heraclitus เป็นนักปราชญ์ในยุคก่อนโสเครติส (Pre-Socratic) ผู้มีชีวิตในช่วงระหว่าง 535-475 ปีก่อนคริสตกาล และด้วยคำกล่าวอันโด่งดัง "ไม่มีใครก้าวลงแม่น้ำสายเดิม 2 ครั้ง" หรือ "ทุกอย่างต่างเลื่อนไหล" (panta rhei) จึงมักมีคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับพระโคตมพุทธเจ้า ที่เป็นคนร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกันอยู่เสมอๆ
ตามที่ Diogenes Laërtius ได้บอกเล่าไว้ใน The Lives of Prominent Philosophers เขา (Heraclitus) เป็นชาวไอโอเนีย เกิดและเติบโตที่เมือง Ephesus เป็นบุตรชายของ Bloson หรือบางแหล่งก็ว่า Heracon
เขากล่าวไว้สักแห่งว่า "เราควรระมัดระวังความทนงตนไม่น้อยไปกว่าไฟปะทุ" และ "ปัญญา คือความเข้าใจในความคิดที่สามารถนำทางเราในทุกแห่งหนทั่วโลก" 
ครั้งหนึ่ง ภายหลังจาก Heraclitus ปฏิเสธงานการเมือง/ร่างกฎหมายให้แก่สภา Ephesus ที่เขาเล็งเห็นว่าเป็นพวกอันธพาล (ใช้อำนาจบาตรใหญ่ขับไล่มิตรสหายของเขาไป) เขาจึงย้ายไปสถิตอยู่ในวิหาร Artemis และวันทั้งวันเล่นทอยกระดูก (Knucklebones) กับเด็กๆ จนเมื่อพวกผู้ใหญ่มาตามเขากลับไป Heraclitus กลับตะคอกใส่คนเหล่านั้นว่า "ทำไมกันเล่าเจ้าพวกคนพาล เล่นสนุกสนานอยู่ตรงนี้ มันไม่ดีกว่าใช้ชีวิตในเมืองของพวกเจ้าตรงไหน?"
หลังจากถูกรบกวนบ่อยเข้าๆ หรือเริ่มเอือมระอาผู้คนมากเข้า Heraclitus ก็เข้าป่า เก็บหญ้าเก็บผักกิน และเริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคบวมน้ำ (dropsy) ซึ่งทำให้ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา จนกลายเป็นที่มาของฉายาปราชญ์กำสรวล (Weeping Philosopher) 
ว่ากันว่าด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุดนี้เองทำให้ในบั้นปลายดวงตาทั้งสองข้างของ Heraclitus บอดสนิท
Heraclitus เดินทางกลับเข้าเมืองเป็นพักๆ เพื่อขอความช่วยเหลือจากแพทย์ ซึ่งแทนที่จะอธิบายถึงอาการอย่างคนธรรมดา เขากลับเล่นเกมปริศนาทายคำ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มีหมอคนไหนสามารถรักษาเขาได้ อาการบวมน้ำทวีความรุนแรงขึ้น จนเขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ในเรือนเลี้ยงวัว นั่งบนกองมูลสัตว์ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า ด้วยเชื่อว่าแสงอาทิตย์จะขับน้ำ และมูลสัตว์จะซึมซับน้ำจากร่างกายออกไป
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ Heraclitus ในหลากหลายฉบับสรุปตรงกันว่า เขานอนตายจมกองขี้วัว ในบางฉบับ จุดจบนั้นทารุณกว่า โดยเขาขอให้ทาสนำเอามูลสัตว์มาโปะเขาทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาตายไปในกองมูลโดยไม่มีใครจดจำได้ว่าเป็น Heraclitus หรือกว่าจะรู้ก็เมื่อร่างเน่าเปื่อยเสื่อมสลาย และกลายเป็นอาหารของฝูงสุนัขไปแล้ว
แม้ชีวิตและความตายของ Heraclitus จะมีสีสันและพิสดารเพียงใด แต่สิ่งที่น่าพิศวงกว่านั้นก็คือ 'คำสอน' ซึ่งมีชื่อว่า Peri Physeos (On Nature) ที่เขียนทิ้งไว้ในวิหาร Artemis ที่เขาเคยประจำอยู่ 
ตามคำบอกเล่าของ Diogenes Laërtius ข้อเขียนชุดนี้แบ่งออกเป็น 3 ภาค ภาคแรกเป็นคำสอนเกี่ยวกับจักรวาล (Cosmology/Phisics) ภาคสองเกี่ยวกับการเมือง (Politics/Ethics) และภาคสุดท้ายว่าด้วยเทพเจ้า ซึ่งก็ทำให้ Heraclitus ถูกจัดให้เป็นนักปรัชญาเทวนิยม (Theism) คือนับถือ/เชื่อในเทพเจ้าและแม้แต่พรมลิขิต 
สำหรับ Martin Heidegger แล้วผู้ที่อ่านหรือได้เผชิญหน้ากับความคิดของ Heraclitus (รวมถึง Parmenides) ล้วนแล้วแต่เข้าใจผิด และทำให้ปรัชญาตะวันตกเสียกระบวนไป (นับจาก Plato, Aristotle จนมาถึงปัจจุบัน) ใน Introduction to Metaphysics บรรยายวิชาสำคัญชิ้นหนึ่งของ Heidegger เขาจึงได้กล่าวไว้ว่า คำสอนของ Heraclitus ในเรื่อง Logos ถือเป็นต้นธารความคิดของ Logos ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ 
สิ่งที่น่าสนใจยิ่ง คือแม้ Heraclitus จะไม่ได้เขียนเกี่ยวกับ Logic แต่ปรัชญาของเขากลับสะท้อน และส่งอิทธิพลต่อความคิดแบบวิภาษวิธี (Dialectics) ที่แลเห็นว่า ความประสานสอดคล้องที่มีอยู่/ดำรงอยู่ (ในชั่วเวลาหนึ่งๆ) เป็นผลมาจากการปะทะความขัดแย้งเหมือน เช่น 'ไฟ' (หรืออาจคือพลังงานในสายตาของคนปัจจุบัน) ที่เขาเชื่อว่าเป็นผู้สร้างและทำลายทุกสรรพสิ่ง 
• • •