Pulp

จดหมายรักถึงงานแย่ๆ

ในบรรดานวนิยายของ Charles Bukowski ที่ผมได้อ่านเช่น Post Office, Women, Factotum และ Pulp ผมติดใจกับเจ้าเรื่องหลังมากที่สุด และถึงแม้จะเป็นงานอ่านง่ายเกือบที่สุด แต่ผมกลับไม่เก็ทประเด็นหลายๆ อย่างในเรื่อง ที่ค่อนข้างเป็นมุขส่วนตัว หรือเป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ก็คงต้องย้อนกลับไปอ่านในวันที่พื้นภูมิทางวรรณกรรมเริ่มแน่น

การกลับไปอ่าน Pulp ใหม่อีกคำรบหนึ่งทำให้ผมได้พบว่า เจ้านวนิยายที่กวนตีนอย่างชนิดติดอันดับโลกเรื่องนี้ คือผลงานชิ้นสุดท้าย หรือจดหมายลาตายของ Bukowski ฉะนั้นแม้มันจะเป็นเรื่องล้อเลียน หรือพยายามจะเขียนในขนบของนวนิยายสืบสวนเชิงบู๊ (Hard-Boild) แบบ Raymond Chandler, Dashiell Hammett และ Mickey Spillane (ที่ชื่อของนักเขียนคนท้ายกลายมาเป็นชื่อของตัวเอก/ผู้เล่าเรื่อง นิค บิเลน) แต่มันก็เป็นอะไรที่มากกว่างานล้อเลียนธรรมดาๆ ด้วยว่า Bukowski ได้ผสมรวมชีวิตและโลกวรรณกรรมเข้าไปในนั้นอย่างแนบเนียนและพิศดาร คล้ายๆ กับที่ John Cassavetes ทำหนังเรื่อง The Killing of a Chinese Bookie (1976) เสียดสีวงการภาพยนตร์ของเขานั่นแหละ

นักวิจารณ์-ผู้อ่านบางคนอาจเห็นว่ามันเป็นมุขส่วนตัวเกินไป เช่นว่า การให้ตัวเอกติดตามหา Red Sparrow ที่ก็คือการล้อเลียนชื่อสำนักพิมพ์ The Black Sparrow ของ Bukowski ที่มีนายทุนสนับสนุนคือ John Martin ซึ่งก็ถูกดัดแปลงมาเป็น จอห์น บาร์ตัน ตัวละครในเรื่องที่ว่าจ้างและแนะนำลูกค้าให้บิลเลน ตัวเอก/ผู้เล่าเรื่อง หากมุขส่วนตัวที่ว่าก็อาจสามารถมองไปในมุมของการสร้างอภินิยาย (meta-fiction) ที่ฉลาดและอ่านสนุกได้ด้วยเช่นกัน ดังจะได้อธิบายกันให้เห็นเป็นฉากๆ ต่อไป

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Pulp มีคำอุทิศที่มอบให้แด่งานเขียนห่วยๆ ทุกชิ้นบนโลก การติดตามหาความจริงในเรื่องแม้จะเป็นไปตามขนบของนิยายสืบสวนเชิงบู๊ แต่ในอีกทางมันก็คือการจัดวางที่ทางความคิดและข้อวิจารณ์วรรณกรรมในยุคปัจจุบันของ Bukowski นั่นเอง

มันอาจไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเสียทีเดียว แต่ก็มีความเกี่ยวโยงระดับหนึ่งที่ทำให้เฮนรี่ ไชนาสกี้ที่มักจะเป็นผู้เล่าเรื่องในนวนิยาย หรือแม้แต่เรื่องสั้นของ Bukowski กลายเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งที่มาปรากฏในเรื่อง ซึ่งก็เช่นเดียวกัน ผู้ว่างจ้างที่มีชื่อว่า เลดี้ เดธ หรือ ธิดาพญายม ก็ติดต่อให้บิเลน สืบหาเซลีน (Céline) นักเขียนชื่อก้องชาวฝรั่งเศสที่คงมีชีวิตอยู่และเวียนๆ วนๆ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ในแอลเอ

บิเลน เป็นนักสืบที่มีพื้นทางวรรณกรรมดี เขาทราบในทันทีว่า เซลีนนั้นตายไปแล้ว ในหมายเหตุหรือปูมบันทึกทางวรรณกรรมทั้งหลายก็ระบุไว้ชัดว่าเขาตายไล่หลังนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฮมิงเวย์ (Hemingway) หนึ่งวัน ฉะนั้นถ้าเซลีนจะยังมีชีวิตอยู่เขาก็ต้องมีอายุร้อยกว่าปีแล้วนั่นแหละ

การไม่ตายของเซลีน การมีชีวิตอยู่ในสภาพที่หนุ่มแน่นไม่ต่างจากเซลีนในภาพที่เราเห็นนั้น อาจคืออุปมาอุปไมยถึงความไม่ตายและคงมีชีวิตยังคงเวียนวนอยู่บนชั้นวางวรรณกรรม ซึ่งพูดให้ง่ายการที่เลดี้ เดธว่าจ้างบิเลนก็เพราะเซลีนเป็นอีกหนึ่งมนุษย์ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือเธอไปได้ (และเมื่อเซลีนได้ทราบว่าเขากำลังถูกบิเลนที่ถูกว่าจ้างมาให้สะกดรอยเขา เขาก็ตลบหลังด้วยการจ้างให้บิเลนกลับไปสืบ เลดี้ เดธ อีกที)

หลายบทสนทนาในเรื่องจึงมีความแยบคาย เฉียบคม สองแง่สองงามตามขนบนวนิยายสืบสวนเชิงบู๊ ที่เราอ่านก็คงต้องสบถออกมาว่า “พ่อแม่เป็นมีดผ่าตัดหรือไงวะ” แต่ความคมคายนี้ก็สามารถพูดได้ด้วยว่า มันเป็นการเหน็บกัดแวดวงวรรณกรรม จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย หรือโต้แย้งได้หรือไม่อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ คนที่เป็นนักเขียน-นักอ่านผู้สนใจโลกของการเขียนย่อมได้อะไรให้ฉุกคิดสะดุดคิดไม่มากก็น้อย

เช่นบทหนึ่งที่บิเลนเจอเซลีนในร้านหนังสือ และกำลังยืนอ่าน As I Lay Dying หรือ เมื่อฉันนอนกำลังตาย ของ William Faulkner นั่นล่ะครับ เป็นฉบับที่มีลายเซนต์ของโฟล์กเนอร์เสียด้วย เซลีนพูดออกมาว่า ในสมัยก่อนเก่า ชีวิตนักเขียนนั้นน่าสนใจกว่าสิ่งที่พวกเขาเขียนเสียอีก แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะชีวิต หรืองานเขียน ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว พูดจบ เซลีนก็เอาหนังสือ Faulkner เสียบกลับเข้าชั้น และหลังจากบิเลนถามเซลีนต่อไปว่า เคยมีคนบอกคุณไหม ว่าคุณหน้าเหมือนใคร เซลีนก็ตอบกลับมาว่า เราแต่ละคนก็ต้องเหมือนใครสักคน ไม่มากก็น้อย

โดยรวม Pulp ถือเป็นนวนิยายที่อ่านสนุก บทบรรยายและบทสนทนาในเรื่องสามารถทำให้คุณหัวร่องอหายหลายบทหลายตอน แต่บางท่อนก็อ่านแล้วก็ชวนให้จุกให้หยุดคิดลึกๆ ได้เช่นกัน เหมือนบทรำพึงตอนหนึ่งที่ บิเลน พูดประมาณว่า การดำรงอยู่นั้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องไร้เหตุผล (absurd) แต่มันเป็นงานบ้องตื้นที่หนักฉิบหาย คิดถึงตอนที่คุณต้องใส่ชั้นใน ตลอดทั้งชีวิตของคุณสิ (จริงๆ ถ้าจะให้หนักและหน่วงกว่า Bukowski ควรจะเน้นหรือพูดไปเลยว่า ชีวิตในประโยคนี้คือการใส่ชุดชั้นในตัวเดิมตลอดสิ้นอายุขัย มันจะได้ความมัน ความดิเถื่อนกว่าเดิมขึ้น)

แน่นอนว่า เซลีนอาจรอดจากธิดาพญายมไปได้หลายสิบปี (จนกระทั่งเขาได้เจอกับเลดี้ เดธ) หากสำหรับ บิเลน มันไม่เป็นเช่นนั้น นี่คือตอนจบที่แปลกและแหวกแนวไปจากนวนิยายสืบสวนสอบสวนทั่วไป มันดูมหัศจรรย์และดูจะเหนือจริงอย่างชนิดเลยเถิดไปมาก แต่ก็เป็นตอนจบที่อธิบายหลายอย่างเกี่ยวกับตัว Bukowski ได้เป็นอย่างดี เมื่อเลดี้ เดธได้นำพานกเรด สแปร์โรว์มามอบให้บิเลน นกยักษ์ที่สุดท้ายอ้าปากและเขมือบบิเลนเข้าไปในนั้น

และนี่ก็คือสิ่งที่ผมแทบไม่รู้ หรืออ่านไม่ออกเลยเมื่อครั้งแรกที่อ่าน ซึ่งก็หวังว่าคงไม่ทำลายอรรถรส หรือความเป็นไปได้ของความบันเทิงของผู้ที่ตั้งใจจะอ่านแต่ยังมิได้อ่าน

• • •

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods