LIFE AND KITSCH

ชีวิตกับความสาธารณ์

ย้อนกลับไปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเด็นโต้แย้งทางศิลปะที่มีความดุเดือดร้อนแรงมากที่สุดอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการต่อสู้ช่วงชิงพื้นที่ระหว่างศิลปินรุ่นเก่ากับศิลปินรุ่นใหม่ การเคลื่อนย้ายสื่อกลางจากภาพจิตรกรรมมาสู่สื่อรูปแบบอื่นของกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้าทั้งหลายแล้ว ก็คือการถกเถียงกันอย่างถึงรากในเรื่องของสุนทรียะศิลปะและรสนิยมสาธารณ์ (kitsch) สืบเนื่องจากรสนิยมสาธารณ์ได้กลายเป็นเครื่องมือ หรือถูกใช้ในทางการเมือง หรือมีส่วนกำหนดและควบคุมความหมายของชีวิตและชีวทัศน์ต่างๆ ซึ่งนักเขียน-นักคิดคนสำคัญอย่างวอลเทอร์ เบนยามิน (Walter Benjamin) ธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodore Adorno) แฮร์มันน์ บรอค (Hermann Broch) โรแบร์ท มูซิล (Robert Musil) โดยเฉพาะในโลกภาษาเยอรมันจะให้ความสำคัญกับมันมากกว่าใครเพื่อน

ส่วนใครหลายคนในที่รู้จักและจดจำคำดังกล่าวจากนวนิยาย ความเบาหวิวเหลือทนแห่งชีวิต ของมิลาน คุนเดอร่า (Milan Kundera)ก็จะพบว่าเขาเองก็ได้สมาทานมุมมองความคิดเชิงวิพากษ์จากกลุ่มนักเขียน-นักคิดในกลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเขียนชาวออสเตรียที่มีชื่อว่า โรแบร์ท มูซิล

สำหรับมูซิล คำว่า ‘ชีวิต’ หรือ Leben (Life หรือ Living) ดูจะเป็นคำสำคัญ และแฝงฝังหลักวิธีคิดหลายอย่างที่เขามองเห็น หรือนิยามไว้ไม่เหมือนใคร นอกเหนือจากการอธิบายมันอย่างเรียบง่ายในงาน Black Magic ว่า “ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่” [1] เขายังได้ผูกโยงเข้ากับคำอธิบายที่สลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีกชั้นว่า

“ศิลปะปอกรสนิยมสาธารณ์ [2] ออกจากชีวิต
รสนิยมสาธารณ์ปอกชีวิตออกจากภาษา
และยิ่งเป็นศิลปะที่นามธรรมมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นศิลปะมากเท่านั้น
รวมถึงยิ่งเป็นรสนิยมสาธารณ์ที่นามธรรมมากเท่าใด 
ก็จะยิ่งเป็นรสนิยมสาธารณ์มากเท่านั้น
นี่เป็นสองตรรกบทที่งดงาม หากว่าเราสามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น!” [3]


งานวรรณกรรม (Ditchtung) หรือ ‘ศิลปะ’ ของมูซิลจึงเป็นเครื่องชำระ ‘รสนิยมสาธารณ์’ ออกจาก ‘ชีวิต’ ขณะที่ ‘ชีวิต’ ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องเผชิญกับ ‘รสนิยมสาธารณ์’ และ ‘ภาษา’ แต่ ‘ภาษา’ จะยิ่งหดหายไปจาก ‘ชีวิต’ เมื่อ ‘รสนิยมสาธารณ์’ มีมากขึ้น

ทำไม ‘รสนิยมสาธารณ์’ หรือ ‘งานสาธารณ์’ จึงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับมูซิล หรือโดยเฉพาะปัญญาชนนักคิดอย่างเบนยามิน, อดอร์โน, บรอค หรือกระทั่งมิลาน คุนเดอร่า ผู้ได้เปรียบมันไว้กับน้ำตาสองหยด ซึ่งมีที่มาหรือสาระภายในต่างกัน?  

คำตอบของคำถามข้างต้นนั้นดูจะเกี่ยวพันกับประวัติความเป็นมาคำนี้

‘งานสาธารณ์’ หรือ Kitsch มีกำเนิด ณ กรุงมิวนิคประเทศเยอรมันในช่วงทศวรรษที่ 1860-70 เป็นคำเรียกงานศิลปะภาพวาดดาษดื่น อันเป็นสินค้าราคาถูกที่สามารถหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด ‘ความสาธารณ์’ มาจากการเลียนแบบ ‘ศิลปะชั้นสูง’ ที่ให้ผลลัพธ์เป็น ‘ศิลปะชั้นต่ำ’

มันเริ่มกลายเป็น ‘ศัพท์’ ที่รู้จักกว้างขวางจริงๆ ก็เมื่อราวทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมา เมื่อมีบรรดานักเขียน-นักวิจารณ์ในเยอรมันหยิบยกเอาคำนี้มาอธิบาย หรือวิพากษ์ ‘ผลงาน’ บางจำพวก  Das Buch vom Kitsch ของฮันส์ ไรมันน์ (Hans Reimann) นักเขียนเรื่องตลกเสียดสีเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่พยายามรวบรวมภาพ ‘งานสาธารณ์’ เอาไว้เป็นจำนวนมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าในเวลานั้น ‘งานสาธารณ์’ ได้แผ่ขยายครอบคลุมไปยังภาพยนตร์ ดนตรี หนังสือรวมงานเขียน เรื่องเล่า เรื่องแต่ง บทกวี ปรัชญา [4] สำหรับชนชั้นล่างที่ถูกมองว่า เป็น ‘ผลงาน’ เพื่อความบันเทิงที่นำพาให้ผู้ใช้แรงงานหันเหไปจากโลกความเป็นจริงที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยการกดขี่ชั่วครู่ชั่วยาม และถือเป็น ‘ผลงาน’ ที่หลายครั้งหลายคราว ‘ดูราวกับ’ อยู่คนละฟากฝั่งกับผลงานประเภทอวองต์-การ์ด (avant-garde) ซึ่งมีไว้ ‘ปลุก’ หรือทำให้ผู้ชมสะดุ้งตื่นมากกว่าหลับใหล

ถ้าหากอธิบายในกรอบคิดของคลีเมนต์ กรีนเบิร์ก (Clement Greenberg) นักวิจารณ์ศิลปะชื่อก้องก็ต้องกล่าวว่า ‘งานสาธารณ์’ กำเนิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ชนชั้นล่าง (proletariat) หรือแต่เดิมคือชนชั้นชาวนา (peasant) ที่ย้ายมาตั้งรกรากในเมืองใหญ่เริ่มอ่านออกเขียนได้มากขึ้น หากทว่ายังไม่มากพอจะเข้าใจ หรือสามารถพินิจพิเคราะห์อะไรได้อย่างลึกซึ้ง [5]

‘รสนิยมสาธารณ์’ หรือ ‘งานสาธารณ์’ จึงเปรียบได้ดั่งมาตรฐานทางการอ่านเขียนแบบครอบคลุม (universal literacy) ที่ถูกนำมาปรับใช้เป็นหลักเกณฑ์ทางสุนทรียะบางอย่างในการผลิตสินค้าและธุรกิจบริการต่างๆ และพยายามจะเป็น ‘รสนิยมแบบประชาธิปไตย’ แม้โดยบางครั้งรูปแบบของมันจะมีความคล้ายคลึงหรือชวนให้นึกถึงศิลปะพื้นบ้าน (folk art) แต่โดยจุดกำเนิดและเป้าหมายแล้วมีความแตกต่างกัน 

ดังที่วอลเทอร์ เบนยามินได้เสนอความคิดเรื่องนี้ไว้ใน Some Remarks on Folk Art  บทความสั้นชิ้นสำคัญ หากถึงกระนั้นเบนยามินก็ยังคงเห็นความสอดพ้องต้องกันระหว่างงานทั้งสองประเภท เมื่อเบนยามินได้กล่าวสรุปความคิดไว้ในตอนท้ายว่า “ศิลปะสอนให้เรามองเข้าไปในสรรพสิ่ง ส่วนศิลปะพื้นบ้านและงานสาธารณ์นั้นอนุญาตให้เรามองจากภายในสรรพสิ่งออกไปข้างนอก” [6] 

งานสาธารณ์/งานพื้นบ้าน จึงไม่ใช่ ‘ศิลปะ’ สำหรับเบนยามิน แม้ทั้งหมดจะมี ‘เจตจำนงทางศิลปะ’ หรือ Kunstwollen [7] และเช่นเดียวกัน ความระแวดระวังของเบนยามิน, ธีโอดอร์ อดอร์โน หรือแฮร์มันน์ บรอค [8] ย่อมเป็นผลมาจากที่ ‘รสนิยมสาธารณ์’ หรือ ‘งานสาธารณ์’ ทั้งหลายเริ่มกลายเป็น ‘เครื่องมือ’ ในการสะกด หรือกล่อมประสาทมวลชน ดังที่กรีนเบิร์กได้อธิบายไว้ว่า 

“หากว่ารสนิยมสาธารณ์คือแนวโน้มของวัฒนธรรมแบบทางการในเยอรมนี อิตาลี และรัสเซีย ก็ไม่ใช่เพราะรัฐบาลที่พวกเขาให้ความเคารพนั้นถูกควบคุมโดยพวกไร้วัฒนธรรม แต่เพราะรสนิยมสาธารณ์คือวัฒนธรรมมวลชนในประเทศของพวกเขา เหมือนเช่นที่เกิดในที่อื่นๆ การส่งเสริมรสนิยมสาธารณ์เป็นเพียงวิธีการราคาถูกที่ระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเหล่านั้นใช้ในการเชื่อมรวมพวกเขาเข้ากับบรรดาผู้ถูกปกครอง (...) รสนิยมสาธารณ์ช่วยให้เผด็จการสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘จิตวิญญาณ’ ของประชาชน” [9]

มูซิลเองก็นับว่าเป็นหนึ่งในนักคิดนักเขียนที่มีความระแวงระไวกับ ‘รสนิยมสาธารณ์’ หรืออย่างน้อย เขาก็มีประสบการณ์ร่วมกับการได้้เห็นการใช้ ‘รสนิยมสาธารณ์’ เป็นเครื่องมือครอบงำคนชั้นกลาง หรือแม้กระทั่งปัญญาชนอย่างกว้างขวางรุนแรง [10]

‘รสนิยมสาธารณ์’ และ ‘งานสาธารณ์’ จึงเป็นสิ่งที่นักเขียน-นักคิด ณ เวลานั้นต้องคิด แยกแยะ และวิเคราะห์ ซึ่งสำหรับมูซิลแล้วมันมีส่วนเกี่ยวพันกับ ‘ความเขลาแบบผู้มีปัญญา’ และเป็นสิ่งที่บั่นทอน ‘ภาษา’ ออกจาก ‘ชีวิต’ ของเขา

• • •

Reference:

[1] Robert Musil, “Black Magic,” Posthumous Papers of a Living Author, (New York: Archipelago Books, 2006), p.56.

[2] ผู้เขียนบทความมีความเข้าใจมาโดยตลอดว่าคำนี้ ปรากฏครั้งแรกในนวนิยาย ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต (The Unbearable Lightness of Being) ของมิลาน คุนเดอร่า โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ ผู้แปล เป็นคนประดิษฐ์คำขึ้นมา 

[3] Robert Musil, “Black Magic,” Posthumous Papers of a Living Author, (New York: Archipelago Books, 2006), p.57.

[4] สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Theodor Adorno, “Bloch’s ‘Traces’: the philosophy of Kitsch,” New Left Review, no. 121 (May-June 1980), pp. 49-62. ที่อดอร์โน ได้วิจารณ์งานเขียน Traces ของแอร์นส์ บลอค (Ernst Bloch) ว่าเป็นงานปรัชญาสาธารณ์

[5] Clement Greenberg, “Avant-Garde and Kitsch,” Art in Theory 1900-1990: an Anthology of Changing Ideas, ed., Charles Harrison and Paul Wood, (Oxford: BlackWell 1992) p.533.

[6] Walter Benjamin, “Some Remarks on Folk Art,” The Work of Art in the Age of its Technological Reproducibility, and Other Writings on Media, (Massachusetts: The Belknap Press of Harvard University Press, 2008), p.255.

[7] เป็นถ้อยคำที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวออสเตรีย อาลอยส์ รีกล์ (Alois Riegl) เป็นผู้บัญญัติขึ้นเพื่ออธิบายถึงสภาวธรรมของการแสดงออกทางศิลปะ ที่ไม่ใช่แค่การเลียนแบบความเป็นจริง แต่เป็นการแสดงออกถึงความจริงที่เราปรารถนา

[8] ในหนังสือ Geist and Zeitgeist: The Spirit in an Unspiritual Age บรอคได้วิพากษ์รสนิยมสาธารณ์เอาไว้อย่างกราดเกรี้ยวรุนแรงว่าผู้สร้างงานสาธารณ์มิได้สร้างสรรค์ศิลปะที่ต่ำต้อย เขาไม่ได้ไร้ความสามารถ หรือเป็นพวกมือสมัครเล่น เพียงแต่ก็ไม่ได้รับการยกย่องให้มีมาตรฐานทางสุนทรียะเทียบเท่า หากกล่าวให้ถูกต้องกว่า เขาคือผู้ทุจริตทางจรรยา เป็นอาชญากรที่จงใจกระทำการชั่วร้าย และเพราะมันเป็นความชั่วร้ายรุนแรงที่เปิดเผยตัวเองอยู่ตรงหน้า เป็นความชั่วร้ายในตัวของมันเอง มันจึงสร้างขั้วตรงกันข้ามต่อทุกระบบคุณค่าโดยสมบูรณ์ รสนิยมสาธารณ์มักชั่วร้าย ไม่เฉพาะรสนิยมสาธารณ์ในศิลปะ แต่คงรวมไปถึงรสนิยมสาธารณ์ในทุกระบบคุณค่าที่ไม่ได้เป็นแค่ระบบลอกเลียน

[9] Clement Greenberg, “Avant-Garde and Kitsch,” Art in Theory 1900-1990: an Anthology of Changing Ideas, ed., Charles Harrison and Paul Wood, (Oxford: BlackWell 1992) p.539.

[10] ในกรณีของประเทศเยอรมัน ถือว่ามีความซับซ้อนอยู่ในตัวเอง โดยเฉพาะฮิตเลอร์ที่ทราบกันดีว่าต่อต้านนักเขียนนักคิดหัวก้าวหน้า ซึ่งโดยมากเป็นชาวยิว หรืออยู่ในสถาบันการศึกษาที่สนับสนุนทางด้านการเงินโดยชาวยิวเช่น สำนักแฟรงเฟิรต์ (Frankfurt School) แต่ในตอนที่กอทท์ไฟร์ เบนน์ (Gottfried Benn) กวีเอ็กเพรสชั่นนิสต์ สมัครเข้าร่วมเขากลับได้รับการต้อนรับจากพรรคเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับบรรดาศิลปินหัวก้าวหน้าในอิตาลี เช่น ฟิลิปโป มารีเนตตี (Filippo Marinetti) หรือนักเขียนบทละครลุยจิ พิรันเดลโล (Luigi Pirandello) ซึ่งจัดได้ว่าเป็นกวีและนักเขียนหัวก้าวหน้าก็ยังสนับสนุนหรือได้รับการสนับจากรัฐบาลฟาสซิสต์

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods