Laws of Imitation

“As they become civilized and, consequently, more and more imitative, they also become less and less aware that they are imitating.”[1]

Laws of Imitation

การเลียนแบบ (imitation) คืออะไร?  Imitation มีรากมาจากคำละตินคำว่า imitatio หมายความถึงการเลียน หรือการลอกแบบ (copy) ในอารยธรรมความคิดแบบกรีก การลอกแบบ หรือ Mimesis (คำว่า มีม ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็มีรากศัพท์มาจากคำนี้) คือการที่มนุษย์สร้างภาพแทน (representation) ของธรรมชาติ หรือความเป็นจริง-ความงามที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่นในแนวคิดของเพลโต 

ขณะที่ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ การเลียนแบบหมายถึงการที่บุคคล หรือกลุ่มบุคคลแสดงออก และประพฤติปฏิบัติบางอย่างตามกัน เช่น ภาษาและวัฒนธรรมบนโลกนั้นเกิดขึ้นมาก็จากการเลียนแบบ เราพูดภาษาใดภาษาหนึ่งได้ก็ด้วยการเลียนภาษาจากพ่อแม่หรือบุคคลอื่น หรือในกรณีของสัตว์การเลียนแบบพฤติกรรมถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ จนมาถึงปัจจุบัน เริ่มมีข้อเสนอทางวิชาการที่สนับสนุนให้เห็นว่าการเลียนแบบเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการด้านความคิด การสร้างสรรค์ และนวตกรรมใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ 

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าย้อนกลับไปยังช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 ได้มีนักคิดคนหนึ่งอธิบายไว้อย่างท้าทายว่า รากฐานของสังคมเรานั้นเกิดขึ้นมาจาก ‘การเลียนแบบ’ 

กาเบรียล ตาร์ด (Gabriel Tarde) นักอาชญวิทยาและนักสังคมวิทยายุคบุกเบิก ได้เสนอความคิดของเขาไว้ในงานเขียนเล่มสำคัญที่มีชื่อว่า Les Lois de l’imitation (1890) หรือ Laws of Imitation ซึ่งมองว่า  “...ความเป็นสังคมในแง่นี้จึงอาจจะนิยามได้ว่าเป็นกลุ่มของชีวิตที่เรียนรู้ในการเลียนแบบคนอื่นๆ”[2]

ตาร์ดถูกจัดให้ผู้เป็นคู่ปรับตลอดกาลของเอมิล ดูร์ไกม์ (Émile Durkheim) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ได้เพียงประสบชัยชนะในการ Debate ครั้งสำคัญ[3] หากทว่ายังมีส่วนได้ลบและเลือนชื่อของตาร์ดออกไปจากสารบบงานด้านวิชาสังคมวิทยาเนิ่นนานหลายทศวรรษ ให้คงเหลือไว้เพียงแต่ฟุตโน้ตสั้นๆ ว่าเป็นเพียงนักอภิปรัชญา นักจิตวิทยา และปัจเจกชนนิยมธรรมดา

ไม่ว่าชื่อและผลงานจำนวนมากมายของตาร์ดจะเลือนลางจางหายไปจากการรับรู้มากเพียงใด ในแวดวงของอาชญวิทยาอาจเป็นข้อยกเว้น เพราะคุณูปการที่ได้วิจารณ์แนวคิดแบบ anthropological criminology โดยเฉพาะผลงานของ Cesare Lombroso และ Enrico Ferri ทำให้งานของตาร์ดยังคงเป็นหนังสือเล่มสำคัญ แม้แต่ Marcel Mauss นักสังคมวิทยาผู้เป็นศิษย์และหลานของดูร์ไกม์ ที่กล่าวว่างานเขียนของตาร์ดอย่าง Les Lois de l’imitation ว่า ‘ไม่สำคัญ’ เพียงใดก็ยังคงเห็นว่าความรู้ด้านอาชญวิทยาของตาร์ดยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร และให้ความบันเทิงดุจเดียวกัน (อันหลังนี้ไม่แน่ใจว่าประชดประชันหรือเปล่า) 

แต่กลายเป็นว่า ณ ปัจจุบัน ชื่อของตาร์ดนั้นได้กลับมาเป็นหมุดหมายอ้างอิง และรุกกระแสคิดแบบ Durkheimian ที่นับวันจะถูกท้าทายและลดบทบาทความสำคัญลงไปมาก

ความคิดอันหาญกล้าของตาร์ดที่ต้องการ “จุดประกายความคิดในสิ่งที่เรารู้ด้วยสิ่งที่ไม่รู้”[4] หรือด้วยการอธิบายให้เห็น ‘ความเป็นสังคม’ แม้ในปรากฏการณ์ที่อยู่นอกเหนือสังคมมนุษย์ หรือการมองสังคมผ่านกรอบ inter-individuality กลายเป็นเทรนด์ทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น

แม้ก่อนหน้าแนวคิดของตาร์ดจะเคยถูกเข้าใจผิด ถูกเย้ยเยาะ หยามเหยียด แต่ก็ได้กลับกลายเป็นข้อเสนอสำคัญที่ถูกนำปรับใช้ ทำความเข้าใจใหม่ เช่น ทฤษฎีจุลฟิสิกส์แห่งอำนาจ (microphysics of power) ของมิแช็ล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ปรัชญาแห่งความต่าง (philosophy of difference) ของฌิลส์ เดอเลอซ (Gilles Deleuze) และ Actor-Network Theory ของบรูโน่ ลาตูร์ (Bruno Latour) ผู้ยกย่องให้งานเขียนของตาร์ดเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมวิทยาแนวทางเลือก

ลาตูร์เห็นเช่นนี้ก็เพราะกาเบรียล ตาร์ดเคยวิพากษ์แนวคิดด้านสังคมวิทยาของดูร์ไกม์ (ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะโด่งดังและได้รับการยอมรับสนับสนุนให้มีตำแหน่งด้านวิชาการ) ได้อย่างน่ารับฟัง ทั้งในเรื่องที่ดูร์ไกม์นำเอาข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่ไม่แน่นอนมาสร้างทฤษฎีทางสังคมที่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือการพิจารณาปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างแข็งทื่อเกินไป ซึ่งเมื่อเราพิจารณาผ่านกรอบคิดปัจจุบัน ย่อมจะเห็นได้ไม่ยากว่า ข้อวิจารณ์ของตาร์ดนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผลและพุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางปัญหา ไม่เพียงเท่านี้ตาร์ดยังได้เสนอความคิดของเขาในบทความ Qu’est-ce qu’une société? (1884) ว่า สังคมนั้นคือการเลียนแบบ บทความชิ้นนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Les Lois de l’imitation ที่จัดพิมพ์ขึ้นภายหลังนั่นเอง

ในช่วงปลายถึงต้นศตวรรษที่ 19 แนวคิดเรื่องสังคมคือการเลียนแบบของตาร์ดนั้นถูกมองว่าเป็นจิตวิทยา หรือเป็นการหยิบยืมเอาเครื่องมือทางจิตวิทยามาอธิบายสังคมอย่างไม่สู้รัดกุม (อย่างน้อยก็เป็นมุมมองดูร์ไกม์และบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเขา) แต่ ณ ปัจจุบันแนวคิดเรื่องของการเลียนแบบ หรือสิ่งที่เรียกว่า inter-psychology ของตาร์ดนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่ซับเซ็ทของจิตวิทยาทว่าเป็นการศึกษาปรากฏการณ์ทางจิตของบรรดาปัจเจกที่ยังไม่ถูกหลอมรวมเป็นภาพเสนอร่วมกัน[5] หรือแนวคิดที่ค่อนข้างท้าทาย อาทิเช่น การขยายแนวคิดทางด้านสังคมที่แพร่ขยายเลยพ้นไปจากความเป็นมนุษย์ไปสู่สรรพสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต (อันสอดพ้องกับแนวคิดเรื่อง Internet of Things ที่เป็นประเด็นในปัจจุบัน) การพิจารณาความสัมพันธ์ของการเลียนแบบ การขัดแย้ง และนวตกรรมทั้งในและนอกสังคมมนุษย์ ตลอดจนถึงคำตอบที่เป็นจุดเชื่อโยงระหว่างความเป็นปัจเจกและสังคม ได้รับการนำมาขบคิดพิจารณามากขึ้นโดยทฤษฎีทางสังคมจำนวนมาก 

บทความชิ้นนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้เรารู้จักกับนักสังคมวิทยาผู้ถูกหลงลืมคนนี้ นอกจากความคิดอันเป็นรากฐานให้แก่ปัจจุบันแล้ว ก็คงเป็นการฉายภาพคร่าวๆ ของเกร็ดชีวิตและดีเบท (debate) ครั้งสำคัญระหว่างเขากับดูร์ไกม์ที่จัดขึ้น École des Hautes Études Sociales ซึ่งเพิ่งเปิดขึ้นใหม่ โดยเริ่มแรกผู้จัดหมายใจไว้ให้เป็นการโปรโมทสถาบัน แต่ผลจากงานนี้เหมือนจะส่งผลไปไกลกว่านั้นมาก

ดูร์ไกม์ที่อาวุโสน้อยกว่าในเวลานั้นถูกพิจารณาว่ามีชัยเหนือตาร์ดในหลายๆ ด้าน อย่างน้อยก็ในสายตาของบรรดาสานุศิษย์ที่เห็นว่า ดูร์ไกม์สามารถโต้ตอบในหลายประเด็นได้น่ารับฟัง ขณะที่ความคิดและข้อเสนอตาร์ดต่อสังคมวิทยานั้นฟังดูเคลือบคลุม และเข้าใจได้ยาก หากไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ตาร์ดพยายามนำเสนอดูจะไปไกลกว่าสิ่งที่นักสังคมวิทยาจะยอมรับได้ ซึ่งก็คือการปฏิเสธการมีอยู่ของความเป็นสังคมของมนุษย์ พร้อมๆ กับเสนอความเป็นสังคมที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ 

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างดูร์ไกม์กับตาร์ดจึงอยู่ในรากฐานความคิด เมื่อคนแรกเห็นว่า “แทนที่นักสังคมวิทยาจะนอนอาบแสงสว่างจากการขบคิดพิจารณาทางปรัชญาว่าด้วยเรื่องของสังคม ก็ควรที่เลือกหาวัตถุในการวิจัยที่ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มของข้อเท็จจริงที่แน่ชัด ซึ่งเราสามารถทำได้ หรืออย่างที่เป็น ชี้ลงไป หรือเป็นอย่างที่เราสามารถพูดได้ชัดเจนว่ามันเริ่มต้นและจบลงตรงไหน และทั้งหมดนี้ก็ควรเป็นสิ่งที่เขายึดถือไว้! ให้เขาได้ตั้งคำถามหลักวิชาต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนด้วยความถี่ถ้วน โดยไม่ทำให้สังคมวิทยาเสื่อมลงไป”[6] 

ขณะที่ตาร์ดผู้มิได้ปฏิเสธความสำคัญของหลักวิชาเช่นสถิติ หรือแนวคิดวิทยาศาสตร์ เห็นว่า สังคมวิทยาไม่ควรจะเป็นวิชาที่ตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง และมีเป้าหมายเพื่อตัวมันเองแต่เพียงอย่างเดียว เพราะสังคมวิทยาถือมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับชีววิทยา หรือกระทั่งศาสตร์แขนงอื่นๆ ซึ่งสามารถนำไปสู่กรอบการอธิบายที่เป็นเอกภาพ และที่สำคัญสิ่งที่ดูร์ไกม์เรียกว่าข้อเท็จจริงทางสังคมนั้นอาจมีปัญหาในตัวเอง ในแง่ที่ว่ายังมีการกระทำและความนึกคิดของมนุษย์อีกหลายอย่างที่ไม่ใช่การกระทำทางสังคม หากก็มีความสำคัญ และมิได้ถูกนำมาพิจารณาในสังคมวิทยาของดูร์ไกม์

 

“อะไรคือ หรืออะไรเล่าเป็นข้อเท็จจริงทางสังคม องค์ประกอบของการกระทำทางสังคมทั้งหลาย  และคุณลักษณะที่มีความแตกต่างอย่างนั้นหรือ? [...] องค์ประกอบของข้อเท็จจริงทางสังคมคือการสื่อสารหรือการปรับเปลี่ยนสภาวะขิงจิตสำนึกโดยการกระทำของมนุษย์ต่อมนุษย์คนอื่นๆ [...] แต่มิใช่ว่าทุกสิ่งที่สมาชิกในสังคมกระทำจะเป็นการกระทำเชิงสังคม [...] การหายใจ การย่อย การกะพริบตา การเคลื่อนไหวขาโดยอัตโนมัติ การเหม่อมองภาพทิวทัศน์ หรือการตะโกนร้องโวยวายอย่างไม่มีสาเหตุ ย่อมไม่มีความเป็นสังคมในการกระทำเหล่านี้ [...] แต่ถ้าเป็นการพูดคุยกับบางคน การอธิษฐานต่อรูปสักการะ การถักทอเสื้อผ้า การตัดต้นไม้ การจ้วงแทงศัตรู การสลักเสลาก้อนหิน ทั้งหมดคือการกระทำทางสังคม นี่คือสิ่งที่มนุษย์ที่มีสังคมกระทำ”[7] ซึ่งตาร์ดได้เน้นย้ำและนำเสนอความคิดสำคัญของเขาที่ว่า  “หากปราศจากตัวอย่างจากมนุษย์คนอื่น ที่เขาทั้งโดยจงใจ ไม่จงใจลอกแบบตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็จะไม่มีทางที่เขาจะแสดงออกเช่นนี้”[8]

 

สำหรับตาร์ดแล้วรากฐานของความเป็นสังคมที่ชัดเจนและเป็นวัตถุวิสัยคือแนวคิดเรื่อง การเลียนแบบ (Imitation) ขณะที่ ดูร์ไกม์ซึ่งมองภาพสังคมแบบ holism มีโครงสร้างทางสังคมที่มีระเบียบแบบแผนก็ย่อมที่จะมองว่าแนวคิดนี้ของตาร์ดฟังดูคลุมเครือและเข้าข่ายงานศึกษาด้านจิตวิทยา ดังที่ดูร์ไกม์ได้แสดงความเห็นไว้ว่า “ไม่ว่าลักษณะสหสัมพันธ์ทางจิตวิทยาจะมีคุณค่าเพียงใด ก็ไม่อาจยอมรับได้สำหรับการนำมาเป็นแหล่งที่มาของการกระทำในสาขาวิชาเฉพาะที่ว่ากันตามจริงแล้วว่ากันที่เรื่องของผลผลิตที่ออกมา”[9] สำหรับดูร์ไกม์ เส้นแบ่งหรือรอยแยกระหว่างวิชาจิตวิทยาและสังคมวิทยาถือว่ามีความชัดเจน ชัดมากเหมือนที่วิชาฟิสิกส์แบ่งแยกอดกมาจากชีววิทยา เขาถึงกับกล่าวด้วยว่า “ในทุกครั้งที่ปรากฏการณ์ทางสังคมถูกอธิบายผ่านปรากฏการณ์ทางจิต เราจึงมักแน่ใจว่าคำอธิบายดังกล่าวผิดพลาด”[10]

แนวคิดเรื่องของ ‘การเลียนแบบ’ หรือ imitation นั้นอาจกล่าวได้ว่าสร้างจุดแตกต่างอย่างกว้างขวางและลงลึก[11] ระหว่างตาร์ดและดูร์ไกม์ที่ก็แน่นอนในกรณีของตาร์ดนั้นเขาอธิบายความคิดของตัวเองผ่าน individuality หรือ inter-individuality ซึ่งแลเห็นว่า ‘การเลียนแบบ’ หล่อหลอมให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม ขณะที่ในทางกลับกัน ดูร์ไกม์และบรรดาสานุศิษย์ของเขาที่มีบทบาทในการสถาปนาความคิดแบบ holism ทั้งในเชิงวิธีวิทยาและในความเป็นสถาบัน กลับมองเห็นว่า imitation นี้เป็นเพียงการสะท้อนกลับไปกลับมาของปัจเจก และไม่สามารถนับเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมแต่อย่างใด หากมันจะมีคุณค่าพอให้พิจารณาก็เป็นเพียงแง่มุมความคิดทางด้านจิตวิทยาแต่ไม่ใช่สำหรับสังคมวิทยา

ตาร์ดได้โต้แย้งข้อคิดเห็นเรื่องที่ว่า การกำหนดเหตุแห่งข้อเท็จจริงทางสังคม (socoial fact) จะต้องถูกค้นพบในข้อเท็จจริงทางสังคมที่มีอยู่ก่อนมิใช่ในท่ามกลางปัจเจกภาวะของจิตสำนึก (individual state of consciousness) ด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นว่าจิตสำนึกของนักประดิษฐ์ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ต่างหากย่อมคือสาเหตุของการเกิดรถราง กระแสไฟฟ้า ระบบไปรษณีย์ และอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าการยกเอาปัจเจกภาวะของจิตสำนึกออกไปก็ย่อมเท่ากับอธิบายว่าหลายสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น หรือถูกประดิษฐกรรมนั้นๆ ถูกสร้างเกิดขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ หรือด้วยมนต์วิเศษ

ว่ากันตามจริงแล้ว ไม่ฉพาะแต่การดีเบทเท่านั้นที่ดูร์ไกม์ได้น้อมนำให้เราเห็นว่า แนวคิดอันมีความเป็น ‘จิตวิทยา’ (ในความรู้สึกของเขา) เป็นอุปสรรคต่อวิชาสังคมวิทยา และอาจถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสตร์อื่นๆ ในแง่ที่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์มากเพียงพอ หากทว่าดูร์ไกม์ยังได้ใช้งานอย่าง Suicide แสดงให้เห็นว่า การใช้ขอเท็จจริงเชองประจักษ์บวกกับการศึกษาเชิงสถิติสามารถทำความเข้าใจการฆ่าตัวตายได้ ในขณะที่ถ้าเราจะศึกษาเรื่องเดียวกันโดยผ่านการศึกษาจิตสำนึกของปัจเจกปลายทางของงานศึกษาเรื่องเดียวกันนี้จะไปจบที่ไหน? คำตอบคือ มันไม่ย่อมไม่มีคำตอบได้เป็นแน่

หากสำหรับตาร์ดแล้ว ถ้าสิ่งดูร์ไกม์เรียกว่าเป็น ‘วิทยาศาสตร์’ สามารถให้คำตอบ หรือทำให้เราบรรลุในการตอบคำถามได้เพียงจำกัด (และได้แต่สัญญาพร่ำเพรื่อเรื่อยไป แต่ไม่มีคำตอบ) นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า นี่คือวิทยาศาสตร์ปลอมๆ ที่มากจากการตั้งต้นศึกษาอย่างผิดทิศผิดทางกลับหัวกลับหาง และขณะเดียวกันสิ่งที่ดูร์ไกม์แลเห็นเป็นเรื่องลึกลับ และเลยพ้นกรอบเกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ อาจคือวัตถุศึกษาที่แท้จริง และเป็นสิ่งตาร์ดเชื่อว่าวิทยาศาสตร์อาจต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อขยายขอบเขตความรู้ของมันออกไป แน่นอนว่า ข้อดังกล่าวของตาร์ดไม่มีหลักฐานหรือข้อสนับสนุนอย่างเพียงพอ ในการดีเบท หรือแม้แต่ในข้อเขียนของเขา ณ เวลานั้นจึงถูกมองว่าเป็นนามธรรม หรือเป็นปรัชญา-จิตวิทยามากเกินไป จึงไม่น่าแปลกใจที่คนในยุคเดียวกันกับเขาจึงเชื่อเหมือนอย่างที่ดูร์ไกม์เชื่อว่าตาร์ดเป็นเพียงนักจิตวิทยามากกว่าจะเป็นนักสังคมวิทยา (แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธคุณค่าผลงานทางด้านอาชญวิทยาของเขา แม้แต่ Marcel Mauss หลานของ Durkheim)

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตาร์ดได้เสนอไว้ในผลงานและโครงการความคิดของเขา โดยเฉพาะสิ่งที่สมัยนั้นเรียกว่า interpsychology ย่อมไม่ใช่เพียง psyschology แต่มันคือรูปแบบความคิด การนำเสนอความเข้าใจความเป็นไปทางสังคมในฐานะที่มีความซับซ้อนกว่า ‘ชนชั้น’ หรือกลุ่มทางสังคมโดยทั่วไป

นี่คือรูปแบบทางสังคมใหม่ที่มีความหลากหลาย เมื่อการผลิตเคลื่อนออกจากโรงงาน แรงงานต่างๆ ไม่ได้ต้องมีสังกัดหรืออยู่รวมกัน ณ พื้นที่และเวลาเดียวกันอีกต่อไป ความซับซ้อนทางสังคมเช่นนี้เองที่ทำให้เราสามารถพูดได้ว่า งานศึกษาของตาร์ดที่เคยเป็นนามธรรม หรือกระทั่งเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นปฏิฐานนิยมนั้นกลับกลายเป็นศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา

เมื่อรูปแบบทางสังคมของปัจเจกที่แต่เดิมไม่อาจแบ่งแยกลงไปได้อีก กลับเป็นสิ่งที่มิใช่หน่วยย่อยที่สุดอีกต่อไป แต่ละปัจเจกมีความสัมพันธ์สืบเนื่องโยงใยถึงกัน มนุษย์แต่ละคนนั้นกลับกลายเป็นส่วนย่อยที่เล็กลงไปกว่าปัจเจก

การที่เราย้อนกลับมาอ่าน หรือคิดถึงตาร์ดอีกครั้ง ในศตวรรษนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการชุบชีวิตตัวบทที่ครั้งหนึ่งถูกอ่านและมองอย่างเคลือบแคลงในสายตาของสังคมวิทยาให้ฟื้นตื่นและกลายเป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่มีประโยชน์และช่วยเหลือในการมองภาพสังคมที่มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิมนี้

• • •

Reference

[1] “ยิ่งพวกเขามีความเป็นศิวิไลซ์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเลียนแบบมากและมากขึ้นเท่านั้น ผลที่ตามมาคือพวกเขายิ่งตระนหักได้น้อยลงและน้อยลงไปทุกทีว่าพวกเขาเลียนแบบกัน”

[2] Gabriel Tarde, Laws of Imitation, (Chicago: Merson Company Press,1903),  p.68.

[3] Debate ที่จัดขึ้นที่ École des Hautes Études Sociales ในปี 1903 แทบไม่หลงเหลือบันทึกใดๆ มาถึงปัจจุบันและในโลกภาษาอังกฤษนั้นก็คงมีกล่าวถึงไว้ในงาน On Communication and Social Influence ของ Terry Clarke ที่จัดทำขึ้นในปลายของทศวรรษที่ 1960 อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการพยายามจำลองภาพการ Debate ครั้งนั้นใหม่โดยนำมาเอาข้อเขียนของดูร์ไกม์และตาร์ดมาดัดแปลงเป็นบทสนทนา และนำมาจัดแสดง โดยมีบรูโน่ ลาตูร์สวมบทบาทเป็น เกเบรียล ตาร์ด และ บรูโน การ์ซ็องติ (Bruno Karsenti) เป็นเอมิลล์ ดูร์ไกม์ และใน On Communication and Social Influence นี้เองที่ Clarke ได้เสนอไว้ว่าที่จริงแล้วใน Debate ตาร์ดอาจมิได้พ่ายแพ้อย่างชนิดหมดรูปเหมือนอย่างที่อ้างๆ กัน  

[4] Gabriel Tarde, Laws of Imitation, (Chicago: Merson Company Press,1903),  p.1.

[5] Bruno Krasanti,  “Imitation: Returning to the Tarde–Durkheim debate” in The Social after Gabriel Tarde: Debates and assessments, ed. by Matei Candea (New York: Routledge, 2010), p.44.

[6] “The sociologist, instead of basking in the glow of philosophical meditations about social things, should take as the object of his research a clearly delimited group of facts, which one can, as it were, point to, of which one can say clearly where they begin and where they end, and to these he should firmly hold on! Let him carefully interrogate the auxiliary disciplines – history, ethnography, statistics – without which sociology is impotent!”

[7] “What is or rather what are social facts, the elementary social acts, and what is their distinctive character? [...] The elementary social fact is the communication or the modification of a state of consciousness by the action of one human being upon another. [...] Not everything that members of a society do is sociological. [...] To breathe, digest, blink one’s eyes, move one’s legs automatically, look absently at the scenery or cry out inadvertently, there is nothing social about such acts. [...] But to talk to someone, pray to an idol, weave a piece of clothing, cut down a tree, stab an enemy, sculpt a piece of stone, those are social acts, for it is only the social man who would act in this way...”

[8]  “Without the example of the other men he has voluntarily or involuntarily copied since the cradle, he would not act thus.”

[9]  “Whatever the value of this intermental psychology, it is unacceptable for it to exercise a sort of guiding action on the specific disciplines of which it should in fact be the product.”

[10] “...every time a social phenomenon is directly explained by a psychological phenomenon, we may rest assured that the explanation is false.”

[11]  ในขณะที่บรูโน การ์ซ็องติ (Bruno Karsenti) ได้เสนอว่า สำคัญกว่าการจัด การให้ตาร์ดและดูร์ไกม์เป็นศัตรูคู่อริทางความคิดกัน เราควรจะมองว่า อะไรคือข้อปัญหา หรือสิ่งที่ทั้งคู่ยังคงไม่พบคำตอบในพื้นที่ทางในแนวคิดของแต่ละคนบ้าง

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods