From Dread to Language

นักเขียนที่ถูกเขียนขึ้นมา
From Dread to Language ของ Maurice Blanchot นักเขียน-นักปรัชญาฝรั่งเศสได้นำพาเราไปเผชิญกับปัญหาสำคัญเกี่ยวกับถ้อยคำสั้นๆ อย่างคำว่า "ฉันอยู่เพียงลำพัง" ที่นักเขียนจำนวนหนึ่งเขียนขึ้นมา โดยไม่รู้ว่า มันเป็นถ้อยคำที่ยอกย้อนในตัวเอง หรือสุดท้าย อาจเป็นเพียงตลกร้ายที่ผู้เขียนจะกล่าวเช่นนั้นต่อหน้าผู้อ่าน
Blanchot อธิบายหรือพยายามอธิบายว่า คำกล่าวนี้ไม่ต่างจากการเรียกใครสักคนเข้ามาแล้วก็ผลักไสไล่ส่งเขาออกไป ด้วยเพราะความเป็นภาษานั้น นักเขียนไม่อาจอยู่ลำพังโดยแท้จริง การอยู่เพียงลำพังของนักเขียนจึงเป็นภาวะกึ่งปรุงแต่ง เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอารมณ์บางอย่างในใจเขา เพียงแต่ในขณะที่เขาเขียนขึ้นมา เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป 
Blanchot จึงได้อธิบายต่อไปอีกชั้นว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการอยู่เพียงลำพัง/ความโดดเดี่ยวที่มักถูกอ้างถึงแท้จริงคือความสะพรึง (Dread) ที่คอยกำกับการเขียน นักเขียนจำนวนหนึ่งเขียนออกมาจากความกลัว ความไม่สบายใจ และแน่นอนที่สุดความทุกข์ทนทำให้เขาต้องกล่าวออกมา เขาอาจรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวจากผู้คนรอบข้าง แต่ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นเพียงการปลอมแปลงตนของความสะพรึง ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นความพิศวง (Enigma) 
ความยอกย้อนของการเขียนและการเป็นนักเขียนสำหรับ Blanchot เป็นสิ่งที่มีอยู่ควบคู่กันไป การเป็นนักเขียนจึงไม่ได้แปลว่า การมีงานเขียนแปรรูปเป็นหนังสือ หรือมีการเขียนเป็นวิชาชีพหลักเท่านั้น เพราะจากสิ่งที่ Blanchot เขียน (ตลอดทั้งชีวิต) การเขียนและการเป็นนักเขียนเป็นความผูกพันลึกซึ้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งอย่าง แม้กระทั่งความตาย
ในบทความ Literature and the Right to Death นั้น Blanchot ได้อ้างอิงถึงความคิดของ Hegel ผ่านตัวบทแปลของ Jean Hypolite ไว้ว่า ใครก็ตามที่เลือกจะเป็นผู้รู้ (man of letters) ก็จะต้องถูกสาปส่งไปยัง ‘อาณาจักรสัตว์แห่งจิต’ ด้วยเพราะสำหรับ Hegel แล้ว ใครคนใดที่ต้องการจะ ‘เขียน’ นั้นจะต้องปะทะกับความยอกย้อนและขัดแย้งในตัวเองก็คือ เพื่อจะเขียน ผู้เขียนจำเป็นต้องมีความสามารถหรือพรสวรรค์ในการเขียน แต่จะรู้ว่าเรามีความสามารถหรือพรสวรรค์หรือไม่นั้น ก็เมื่อเราได้เริ่มต้นเขียน ดังนั้นความสามารถและพรสวรรค์จึงแทบไม่มีความหมายอะไร หากเราไม่นั่งลงเขียนออกมา
คำอธิบายที่ฟังดูวกวนนี้ ชี้ให้เห็นแนวคิดสำคัญ อย่างน้อยก็สำหรับ Blanchot ในเรื่องที่ว่า นักเขียนเกิดขึ้นหรือมีอยู่ได้ก็ด้วย ‘งาน’
‘นักเขียน’ มิได้ให้กำเนิด ‘งาน’ แต่ ‘งาน’ นั้นต่างหากเล่าที่ให้กำเนิด ‘นักเขียน’ ซึ่งตรงนี้สอดคล้องโยงใยกับความคิดของ Hegel ในเรื่องปัจเจกบุคคลว่า เขาย่อมจะไม่ตระหนักถึงความเป็นปัจเจกนั้นจนกระทั่งได้เปลี่ยนมันเป็นความจริงผ่านการกระทำ
‘นักเขียน’ ที่ Blanchot กล่าวถึงจึงอาจมิใช่ ‘นักเขียนอาชีพ’ แต่เป็นสถานะ/สภาวะของมนุษย์ที่สัมพันธ์กับ ‘การเขียน’ หรือเลือกเผชิญหน้ากับความยอกย้อนของสิ่งที่เรียกว่า ‘วรรณกรรม’
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับความคิดของ Blanchot อยู่บ้าง ย่อมจะระแวดระวังกับคำว่า ‘งาน’ ซึ่งมีค่าแตกต่างจาก ‘หนังสือ’ ‘บทกวี’ หรือ ‘นวนิยาย’ 
‘งาน’ ในที่นี้กินความรวมถึงสิ่งที่นักเขียนผลิตไปตลอดทั้งชีวิต
ในข้อเขียนของ Blanchot คำว่า นักเขียน การเขียน งาน ผลงาน และวรรณกรรมมีนัยความหมายเฉพาะเจาะจงเสมอ ซึ่งบางคนอาจเห็นเป็นเพียงการดัดแปลงคำปล่าว (Paraphrasing) จากทั้ง Hegel, Heidegger หรือกระทั่ง Levinas เพื่อนของเขา แต่ถึงกระนั้น ถ้อยคำเหล่านี้ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ หรือได้เชื่อมโยงขับเน้นแนวคิดทางปรัชญาเข้ากับ ‘วรรณกรรม’ ให้เราค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ซึ่งสามารถพูดได้เช่นกันว่า นี่เป็นเครื่องหมายการค้าของ Blanchot หรือหากประเด็นเรื่องของ กามารมณ์ (Eroticism) กับความตายเป็นแกนหลักทางความคิดของ Bataille ‘วรรณกรรม’ กับ ‘ความตาย’ ก็เป็นแกนหลักทางความคิดของ Blanchot 
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์ก็คือ ความคิดเรื่องความตาย และ ‘ความตายที่เป็นไปไม่ได้’ สำหรับ Blanchot ก็คือเส้นแบ่งที่ลากคั่นระหว่างคนกับสัตว์
สัตว์ทั้งหลายแค่ตาย โดยที่มันไม่จำเป็นต้องคิดถึงความตาย แต่มนุษย์นั้นตระหนักถึงการตายก่อนความตายจะมาถึง 
สำหรับ Blanchot ความตายคือความยอกย้อนของชีวิตอีกประการหนึ่งของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่ง ‘วรรณกรรม’ คือเครื่องมือชนิดหนึ่งหรืออาจชนิดเดียวที่ทำให้เราสามารถรับมือกับการดำรงอยู่อันพิสดารนี้
การดำรงอยู่คือความน่าพรั่นพรึง ความตายทำงานผ่านเรา มันทำให้ธรรมชาติมีความเป็นมนุษย์ และทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอาจเพียงชนิดเดียวที่รู้จักความตายในความหมายนี้ 
ความตายซึ่งเป็นกระบวนที่นำการเป็น (being) ไปสู่การกลาย (becoming) หากฉันคือสิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย ความตายคือสิ่งที่ทำให้ฉันไม่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายอีกต่อไป ความตายทำให้เราเป็นไปไม่ได้ที่จะตาย (the Impossibility of dying) ซึ่งโลกของศาสนาเรียกความเป็นไปไม่ได้ที่จะตายว่า ความเป็นอมตะ (Immortality)