Fog

อันนา คาวาน: หมอก
ฉันมักจะขับรถเร็วอยู่เสมอ เพียงแต่วันนั้นฉันไม่ได้ขับเร็วเหมือนเช่นวันก่อนๆ ส่วนหนึ่งเพราะมีหมอกลงจัด แต่เหตุผลหลักคือฉันรู้สึกเยือกเย็นและสุขสงบ อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นใดให้ต้องรีบเร่ง แน่นอนล่ะมันเป็นความรู้สึกหลังฉีดยา เพียงแต่ก็มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับหมอกและที่ปัดน้ำฝนนั่นด้วย ฉันเพียงลำพัง มีที่ปัดน้ำฝนกวาดไปมาเป็นเพื่อนร่วมทาง และทำตัวเหมือนเป็นยากล่อมประสาท ขณะวาดกระจกหน้ารถเป็นวงกลมสองวง มันช่วยให้ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น หากกำลังขับรถไปขณะหลับใหล และหมอกนั่นก็ได้ช่วยเลือนโลกภายนอกหน้าต่างให้ดูคลุมเครือและไม่เป็นจริง
ผู้คนเหล่านี้ดูไม่เป็นจริงเหมือนเช่นสิ่งอื่นๆ ฉันเพิ่งจะขับผ่านทางรถไฟ ขณะคนพวกนั้นกำลังเดินอยู่ข้างหน้า กลุ่มวัยรุ่นผมยาว แต่งตัวแปลกๆ หัวเราะ พูดคุย และร้องเพลงพลางเดินจับมือโอบเอวไปพลาง เห็นชัดว่าทั้งหมดเหมือนกำลังเดินล่องลอยอยู่เหนือพื้นโลก โดยปกติแล้ว คนเหล่านี้มักทำฉันให้ปั่นป่วนทุกครั้ง เมื่อได้เห็นพวกเดินส่ายไปมาบนถนนเหมือนหนึ่งเป็นเจ้าของ ฉันออกจะรู้สึกขุ่นเคืองกับความมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ความผ่อนคลาย และความร่าเริง ขณะที่ฉันรู้สึกหดหู่ ไม่ปลอดภัย และโดดเดี่ยว ไม่มีใครจะพูดคุย หรือหัวเราะด้วย แต่มาหนนี้ คนเหล่านั้นไม่ได้รบกวนจิตใจฉันแต่อย่างใด เพราะพวกเขาดูไม่จริง ฉันยังคงเยือกเย็นโดยสมบูรณ์ ตัดขาด แม้พวกเขาจะไม่ได้พยายามเดินหลบ และแม้แต่ส่งสัญญาณบอกให้ฉันหยุดรถ
ฉันเหลือบมองใบหน้าโง่ๆ ปกคลุมด้วยทรงผมปัญญาอ่อน เปียกชุ่ม และขมวดขดอย่างกับงูเก็งกองโดยไม่แยแส ทุกใบหน้าแสยะยิ้ม เปียกชุ่มและระยับด้วยไอหมอก ทุกปากอ้าออกและหุบลงพร้อมๆ กัน ไอลมหายใจพวยพุ่งเป็นกลุ่มควัน มันทำให้ฉันนึกไปถึงหน้ากากมังกรญี่ปุ่นและหน้ากากอมนุษย์ชวนฝันร้ายในภาพเขียนบางภาพของเอ็นเซอร์ [1] ใบหน้าที่ถมึงทึงใส่ฉันผ่านม่านหมอกมีลักษณะน่ารังเกียจชวนให้ขนลุกขนพองในทำนองเดียวกับหน้ากากที่ว่านี้ สิ่งที่เดินไป พูดไป ดูไร้ชีวิตจริงๆ หากแม้พวกเขาเป็นมนุษย์แท้ๆ พวกนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง แต่ถ้าพวกเขาเป็นหุ่น ฉันจะต้องสนอะไร ความเฉยชายังคงไม่คลายลง มันเป็นเพียงเพราะฉันไม่ชอบมองพวกเขาก็เท่านั้น
โดยปกติแล้ว ไม่มีแรงจูงใจใดให้ฉันรับใครขึ้นรถ อย่างไรเสียพวกนั้นก็ไม่คิดจะเดินชิดขอบถนน มันทำให้ฉันต้องย้ายเท้าจากคันเร่งมาแตะเบรก แต่ฉันก็พลันบังเกิดความสงสัยว่า ทำไม ก็เมื่อพวกเขาไม่เป็นจริง ไม่มีอะไรเป็นความจริง ฉันเองก็มิได้อยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกับคนเหล่านั้น คงเป็นเรื่องแปลกพิกลอยู่หากจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นคนจริงๆ ฉันจึงย้ายเท้าไปวางไว้บนคันเร่งอีกครั้ง พวกนั้นเป็นแค่กลุ่มก้อนของหน้ากากไม่เข้ากันที่ฉันแลเห็นขณะหลับใหล ฉันยังคงเมินเฉย และเยือกเย็น ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ เข้ามาข้องเกี่ยว อีกทั้งไม่เกิดความอนาทรร้อนใจอะไรเลย
หุ่นตัวหนึ่งกระเถิบเข้ามาใกล้ ฉันเพ่งผ่านม่านหมอกมองเห็นใบหน้าสวมหน้ากากระบายสียืนอยู่ในฝั่งตรงกันข้าม จดจ้องมองตรงมา ปากอ้าและดวงตาเบิกกว้าง และขยายขึ้นในลักษณาการแบบภาพล้อพิสดารอย่างไม่เชื่อ จากนั้นก็มีเสียงกระแทก ฉันกำพวงมาลัยแน่นทั้งสองมือ เหมือนหนึ่งกำลังประสบหายนะร้ายแรง ทั้งที่จริงแล้ว ความหายนะดังกล่าวจับต้องสัมผัสไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
อุบัติเหตุคงอยู่เนิ่นนานเกินสมควร เสียงครวญครางดำเนินต่อไปไม่จบสิ้นและรูปทรงจำที่แนกแยกแยะไม่ได้ก็ล้มลง และเมื่อทุกอย่างยุติ ฉันก็ขับทับมันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรมีอยู่จริง ฉันไม่คิดอะไร เพราะมันไม่มีอะไรให้คิด ฉันยังคงขับผ่านม่านหมอกไปอย่างเยือกเย็นและสุขุมรอบคอบ ที่ปัดน้ำฝนกวาดกลับไปกลับมาเหมือนหนึ่งคำประกาศว่าสัมผัสคล้ายฝันอันสุขสงบไม่ได้เป็นที่สิ่งปรากฏในเบื้องหน้า
ตรงมุมหนึ่งของม่านหมอกแลเห็นสิ่งคล้ายกับภูตผีถลันออกมาตรงกึ่งกลางถนน ความคิดที่จะหลีกหลบการชนระหว่างโลกไม่เป็นจริงทั้งสองไม่เคยอยู่ในหัวของฉัน แรงสะท้อนบางอย่างทำให้ฉันเบี่ยงออกไปในจังหวะสุดท้ายก่อนจะแฉลบรถบรรทุกคันมหึมา ฉันขับรถต่อไป โดยไม่สนใจเสียงกู่ตะโกนของคนขับรถบรรทุก ด้วยความเร็วสามสิบห้าถึงสี่สิบ ไม่มากไปกว่านั้น ไม่คิดอะไรอะไรอีก ที่ปัดน้ำฝนทำงาน หมอกทำให้ทุกอย่างแลดูคลุมเครือต่อไป
มันช่วยทำให้ฉันรู้สึกตัดขาดและเยือกเย็น หากถัดจากนั้นก็เริ่มกลายเป็นความน่าเบื่อหน้าย ทุกสิ่งคงดำเนินต่อไป ทั้งหมอก ที่ปัดน้ำฝน และการขับรถของฉัน มันคล้ายกับว่าฉันไม่รู้จะหยุดรถได้อย่างไร เหมือนต้องขับไปจนกว่าน้ำมันจะหมดถัง หรือไม่ถนนทุกสายก็ดำเนินไปสู่จุดสิ้นสุดของมัน
จึงเป็นความผ่อนคลายอย่างหนึ่งเมื่อรถตำรวจส่งสัญญาณบอกให้ฉันหยุดรถ ฉันก้าวออกจากรถไปยืนอยู่บนไหล่ทาง แล้วจึงถามว่าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาเหมือนจะเห็นอยู่ว่าฉันไม่ได้เมา และฉันก็ไม่ได้ขับรถชวนให้หวาดเสียวแต่อย่างใด จ่าตำรวจบอกให้ฉันไปโรงพัก และฉันก็ตอบรับ มันเหมือนกันทุกที่ล่ะน่า ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ฉันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ พวกเขาต้องการตรวจค้นรถของฉัน และฉันก็มิได้ปฏิเสธ ไม่มีอะไรในนั้น เข็มฉีดยาและข้าวของทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อย ขณะรอให้พวกเขาตรวจค้นจนพอใจ ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นช่วงพลบค่ำ ฉันมองดูดวงไฟส่องสว่างและส่องแสงสีเหลืองเหนือถนนซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอก
สารวัตรสอบปากคำฉันเพียงลำพังในห้องขนาดเล็ก ที่เหน็บหนาว และมีแสงสว่างจ้า ผนังด้านหนึ่งปิดประกาศที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเล็กจิ๋วและรถจักรยานสองคันจอดพิงกำแพงเอาไว้ เรานั่งลงบนเก้าอี้ไม้แข็งๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างโต๊ะที่ผิวหน้าเคลือบด้วยฟอร์ไมกาสีดำ ฉันตั้งปกเสื้อขึ้น เขาเป็นชายร่างใหญ่มีไหล่แผ่กว้าง แม้จะดูไม่เหมือนของจริงก็ตาม ฉันคิดไปถึงหุ่นที่เด็กๆ ทำด้วยไม้แขวนเสื้อ เศษไม้ และหมอนยัดเข้าไปในเสื้อ ใบหน้าของเขาเป็นการทำอย่างล้อเลียน เป็นหน้ากากทำจากกระดาษและเปเปอร์มาร์เช่มีดวงตาทาสีเขียวติดเอาไว้ ในแสงสว่างจ้า ฉันมองเห็นดวงตาจ้องมองมาอย่างไร้อารมณ์ ไม่แสดงออกใดๆ หากเพ่งตรงมาที่ทรงผม นาฬิกา และเสื้อแจ๊คเก็ตหนังกลับของฉัน
ฉันมองกลับไปอย่างเยือกเย็น ไร้อารมณ์ พลางสงสัยว่าพวกเขากำลังจ้องมองอะไรกันนะ ก็ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแค่ตัวปลอม ฉันมองเห็นพวกเขาระหว่างเผลอหลับไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรบกวนฉัน นั่นคือทั้งหมดที่ฉันคิด ฉันยังคงรู้สึกเยือกเย็นและและตัดขาดโดยสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของอารมณ์เข้ามาข้องเกี่ยว ไม่แม้กระทั่งตอนที่เขาถามว่าฉันได้รับรู้รับทราบเรื่องอุบัติเหตุที่ถนนตัดข้ามทางรถไฟบ้างหรือไม่
ภายในห้องหนาวเสียจนลมหายใจของเขาพวยพุ่งเป็นไอในทุกครั้งที่พูด ชั่วขณะสั้นๆ ฉันมองเห็นปากซึ่งเต็มไปด้วยไอจากหน้ากากอื่นๆ พวยพุ่งออกมาคล้ายกับหัวฟักทองแกะสลักในคืนวันฮัลโลวีนซึ่งมีเทียนไขพ่นควันอยู่ข้างใน ใบหน้าที่เหนื่อยหน่ายแบบชาวนา ดูไม่เป็นจริงและเป็นอมมนุษย์เหมือนๆ กัน บางส่วนเป็นความน่าชิงชังแบบพิลักพิลั่นของสิ่งที่พูดได้ ไม่ใช่แบบมนุษย์ เขาคงทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงได้หากว่าเขาเป็นคนจริงๆ แต่นี่เขาเป็นเพียงแค่หุ่น มนุษย์เทียม ดังนั้นจึงไม่อาจมีผลกระทบใดๆ ต่อความรู้สึกของฉันมากไปกว่าที่พวกเขาควรจะทำได้ ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันยังคงเฉยชา และคงมีเพียงแค่ว่าฉันไม่อยากจะนั่งเผชิญหน้ากับเขาตรงนั้น ฉันพูดว่า ‘ไม่ ฉันไม่เห็นอะไรเลย’ ว่ากันตามจริงแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบอกอะไรเขา เพราะไม่มีอะไรจะเล่า ไม่มีอะไรที่เป็นจริง และไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงเลยด้วยซ้ำ
‘คุณอาจจะช่วยเราสืบคดีได้’
ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฉันจึงนิ่งเงียบ จะช่วยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อฉันไม่เห็นว่า มันเกิดที่ไหน เขาควานหาหีบห่อในกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง และอีกข้างก่อนจะหยิบซองบุหรี่ยี่ห้อเพลเยอร์ออกมา และส่งยื่นให้ฉัน มือของเขาใหญ่ แผ่กว้าง หยาบกร้าน คล้ายกับมือของกรรมกร ‘ไม่ล่ะ ขอบคุณ ฉันไม่สูบ’ ฉันสูดเอากลิ่นที่น่ารังเกียจ หรือยิ่งกว่านั้นก็คือกลิ่นเหม็นเน่าของยาเส้นเวอร์จีเนีย
‘ไม่รู้อะไรเลยรึ’ เขาเกือบจะแสยะยิ้มออกมาชั่วครู่หนึ่ง ฉันสงสัยว่า ทำไม เขาถึงพยายามเสแสร้ง และทำเหมือนกำลังแสดงละครอยู่ ฉันมองใบหน้าโหลๆ ของบุคลไร้ตัวตนนี้ด้วยความเฉยเมย เงียบเชียบ ไม่มีแววตา ความมีชีวิตในดวงตา มันเป็นหินสีเขียว ไม่แสดงให้เห็นถึงความมีปัญญาหรืออารมณ์ ฉันวางข้อศอกลงบนโต๊ะ สถานการณ์ดูจะเนิ่นนานเกินควร มันช่างน่าเบื่อ ฉันก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือ
ตำรวจหญิงถือถาดมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเดินออกไปอีกครั้ง ฉันรับเอาถ้วยสีขาวใบหนา จากมือของสารวัตร และดื่มชา หรืออาจเป็นกาแฟ หมอกเริ่มทำให้ฉันรู้สึกแสบคอ
‘คุณจะเอานี่ด้วยไหม’ ฉันวาดสายตาจากมือแบบกรรมกรไปสู่จานบิสกิตจืดๆ แล้วส่ายศีรษะ เขาหยิบไปอันหนึ่ง หักออกครึ่งหนึ่งแล้วส่งเข้าปากสองคำใหญ่ๆ ฉันวางแก้วสีขาวลงบนโต๊ะ
‘มีคนถูกรถชนที่ถนนข้ามทางรถไฟ’ รอยย่นยับแนวขวางสามเส้นปรากฏบนหน้าผากของเขา ดวงตาแลดูประสาทๆ ค่อยๆ หรี่ลง ชั่วขณะนั้น ฉันจึงได้เห็นภาพวัยรุ่นใส่หน้ากากลอยขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอก คนหนึ่งเข้ามาใกล้ เพ่งเขม็งมาที่ฉัน ด้วยสีหน้าตื่นๆ อย่างพิลึกพิกลหากดูไม่สมจริง ใบหน้าสวมหน้ากากเดินจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะมาขมึงทึงใส่ ฉันรู้ว่าเขารอให้ฉันพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่มันไม่มีอะไรให้พูด ก็แค่หน้ากากอันหนึ่งถูกเขี่ยออกไปจากเส้นทางจราจร ก็แล้วไงเล่า นี่มันหน้ากากไม่ใช่มนุษย์เสียหน่อย ไม่มีความหมาย ไร้ความสำคัญ ทุกอย่างไม่เป็นความจริง
เขารินเติมแก้วของเขา ไอร้อนลอยขึ้นมา มองผ่านไอไปยังใบหน้าโหลๆ จากการเลียนซ้ำ ที่ลอยเด่นเบื้องหน้าประหนึ่งอยู่ในท่ามกลางม่านหมอก ขณะนี้ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง จ้องตรงมายังฉัน เพียงแต่แววตานั้นว่างเปล่า อาจเป็นได้ว่ามองไม่เห็น มันดูเหมือนเกือบจะบอดสนิทเสียด้วยซ้ำ ไหล่แผ่กว้างค่อยๆ แหวกผ่านหมอกออกมา เขาเป็นหุ่นทำมาจากเศษผ้า ร่ม ไม่ได้เป็นจริง เขาไม่ได้เป็นมนุษย์ ฉันสามารถมองอย่างไร้ความรู้สึก ด้วยความเมินเฉยโดยสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ฉันไม่ประสงค์จะมองเขา ฉันจึงบ่ายหน้าหนีไป
หมอกลงจัดมากขึ้นเหมือนช่วงพลบค่ำใกล้จะมาถึงทุกที นอกหน้าต่างหมอกเคลื่อนมาสัมผัสบานกระจก ชั่ววินาที ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในคุกหนาวเย็นที่รายล้อมด้วยหมอก แต่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นจริง ห้องนั้นก็เหมือนกัน ผนังอันหนาทึบของห้องเป็นเพียงมายาภาพ ในความเป็นจริงมันคือพื้นที่ว่างเปล่า เป็นสนามของพลังอันเกิดขึ้นระหว่างอนุภาคกับช่องว่างที่กว้างขวางไม่สิ้นสุด ฉันจึงประสงค์ที่จะอยู่ที่อื่น
ฉันยังคงสุขสงบ เพียงแต่เริ่มรู้สึกได้ถึงการคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น ฉันพยายามขจัดมันออกจากความคิดในเวลาเดียวกับที่เขาพูดว่า ‘คิดสิ คุณแน่ใจแล้วรึว่าไม่เห็นอะไรผิดปกติบนถนนเลย ไม่มีใครบาดเจ็บเลยหรือ’
‘ฉันบอกไปแล้วว่าไม่เห็นอะไรเลย’
‘แต่คนขับรถบรรทุกเล่าว่า เขาเห็นคุณขับผ่านไปหลังเกิดอุบัติเหตุ ฉะนั้นคุณต้องเห็นเหตุการณ์อย่างแน่นอน’
เสียงของเขาฟังดูเฉียบขาดมากขึ้น มันทำให้ฉันเริ่มคิดว่าเขาจ้องเขม็งอยู่เหมือนหนึ่งเขามีชีวิตจริงๆ แต่เมื่อฉันหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ยังเห็นหน้ากากเดิมๆ ที่มีดวงตาหรี่เล็กเหมือนก่อนหน้า ระบายสีแบบง่ายๆ ลงบนใบหน้าบูดบึ้งแบบปลอมๆ
‘คนขับรถบรรทุกไหนกัน’ ฉันถาม ‘ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร ไม่เห็นรึว่ามันเป็นความเข้าใจผิด และฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการตัว’
ฉันดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบ ฉันมองเห็นเขาพยายามกวาดสายตาไปทั่วสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ที่มีปกหนังสีดำเป็นเงามัน ฉันยังคงนิ่งเฉยเยือกเย็น หุ้มห่อด้วยความรู้สึกชินชา หากความสงสัยใคร่รู้บางอย่างกลับค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากที่ไหนสักแห่ง มันเริ่มต้นจากความรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะไม่มีวันจบสิ้นลง และฉันก็เริ่มไม่มั่นใจว่าความเมินเฉยของฉันจะคงอยู่ต่อไปได้ในสถานการณ์ที่ไม่สิ้นสุดนี้ เมื่อได้เห็นเขาพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กๆ ฉันก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงการคุกคามของหมู่เมฆสีดำที่ก่อตัวเหนือเส้นขอบฟ้าไกล
‘คนขับรถบรรทุกจดทะเบียนรถไว้’ เขาพบสิ่งที่ต้องการ และได้อ่านตัวอักษรนั้นให้ฉันฟัง ‘ก็นี่มันทะเบียนรถคุณไม่ใช่รึ คุณเห็นแล้วนะว่ามันไม่ใช่การเข้าใจผิด และคุณนั่นแหละที่เราต้องการตัว’ เขาเคลื่อนตัวในเฉียบพลัน โน้มลงเหนือโต๊ะ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าของฉัน โดยปริยาย ฉันผละหนีไป เมื่อได้กลิ่นยาสูบเหม็นๆ กลิ่นฉกาจของเสื้อผ้าที่นานๆ จะได้รับการซักสักครั้ง ผสมกับกลิ่นเหล้าฉุนๆ ชวนคลื่นไส้
‘เอาเป็นว่าคุณเริ่มต้นเล่าความจริงให้ผมฟังเลยเดี๋ยวนี้’ เสียงของเขาเปลี่ยนแปลงไปและดูขึงขังจริงจังขึ้นอย่างน่าใจหาย ดวงตาไร้แววกลับเริ่มฉายโชนให้เห็นของความมีชีวิต ใบหน้าของหุ่นตำรวจปลอมๆ ดูเป็นจริงและคุกคามมากยิ่งขึ้น
ฉันรู้สึกได้ว่ากลุ่มเมฆสีดำขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ ขณะเมื่อฉันมองดูเขาลุกขึ้น และเยื้องย่างไปรอบๆ โต๊ะ สายตาและความเคลื่อนไหวค่อยๆ แผ่ขยาย การจองจำที่เย็นยะเยียบ เขาค้อมตัวลงมาหาฉันอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ มือที่ใหญ่ แผ่กว้าง เข้าเข้ามาในรัศมีการมองเห็นของฉัน สีเหลืองตัดกับเครื่องแบบสีเข้ม มีพลังอำนาจร้ายกาจ ใหล่ที่เหมือนกับใส่เสริมไหล่ลู่ลงเล็กน้อย ขยับเข้าใกล้อย่างอาฆาตมและอาจเข้ามาใกล้เกินควรด้วยซ้ำ ฉันพยายามหลบสายตา มองไปรอบๆ เขา และมองออกไปนอกหน้าต่าง
ฉันได้กลิ่นหมอก ฉันรับรู้ได้ถึงรสชาติของมัน มันทำให้ฉันแสบคอ ภายนอกแสงสว่างหายไปอย่างรวดเร็ว ท้องถนนร้างไร้ผู้คนอย่างสิ้นเชิง แทบไม่ได้ยินเสียงยวดยานพาหนะบนถนนสายอื่นๆ ม่านหมอกสกปรกค่อยๆ คล้อยต่ำลงมาจากเบื้องบน ส่องสะท้อนแสงระยับจับตัวเมือง หมอกก่อตัวหนากว่าตอนก่อนหน้า และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำดีขุ่นๆ เหมือนสีของอาเจียน หน้าต่างกระจกไม่อาจสกัดยับยั้งหมอกเอาไว้ได้ เส้นแนวขวางของหมอกสามารถมองเห็นแสงสว่างส่องประกายสีเหลืองส่องผ่านออกมา
ชั่วขณะสั้นๆ ฉันรู้สึกเหมือนติดกับอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ด้วยบางอย่างที่มืดดำและอันตรายกว่าหมอก ไม่เหมือนว่าฉันอยู่ที่นั่น หากแต่ความสงบที่ฉันฉีดเข้าไปกำลังหมดฤทธิ์ลง แม้ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ อย่างแท้จริง ทว่าก็เป็นจุดเริ่มที่ยากจะปฏิเสธได้ถึงการคุกคามบางอย่างจากบางที่บางแห่ง ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองอาจต้องสูญเสียความเฉยชาไป และทุกอย่างก็เริ่มยากเกินกว่าจะทนรับได้
ดังนั้น ทั้งหมดทำให้ฉันเริ่มคิดกังวล แม้ฉันจะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับหมอกอย่างไร หมอกปรากฏอยู่ในทุกที่ แม้กระทั่งในหัวของฉัน ฉันเหมือนจะไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้...ไม่อาจจดจำ... มันเป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ฉันเริ่มระลึกได้ถึงการสูญเสียสัมผัส การปราศจากควบคุมในเหตุการณ์ต่างๆ ในขณะที่ระลอกเมฆสีดำราวควันพิษกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาหาทุกทีๆ
ชั่วขณะนั้น ฉันต้องการจะหลบหนี ก่อนจะสายเกินการณ์ ฉันรู้ว่าจะต้องชิงลงมือในทันทีเพื่อผละหนีออกมา แต่ฉันไม่สามารถทำได้ตราบเท่าที่สิ่งต่างๆ ยังคงดูไม่เป็นจริง และฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น อย่างแรกสุด ฉันต้องยับยั้งความรู้สึกไร้ตัวตนและตัดขาดเสียก่อน และโดยเร็วพลัน ฉันต้องตื่น ไม่ใช่แค่นั่งจมอยู่ในความหลับใหล หากจะต้องอยู่ตรงที่นี่ ไม่ใช่ที่อื่น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไป ฉันมองเห็นแล้วว่าไม่มีทางออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เมฆสีดำเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ฉันสูดเอาควันพิษและหมอกเข้าไปเต็มปอด หายใจเอาสารพิษที่มีกลิ่นยาเส้นเน่าๆ ผสมกับกลิ่นเหล้า
จากนั้นฉันจึงมองไปรอบๆ และในทันใดก็ยุติความพยายามที่จะตื่นขึ้นมา สิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการ คือการตื่นขึ้นที่นี่ ขณะมองเห็นสารวัตรแนบประชิดอย่างน่าพรั่นพรึง อย่างมิได้เป็นเพียงหุ่นไร้ชีวิต หรือสวมหน้ากากทำจากกระดาษลังที่หาได้ดาษดื่น หากแต่เป็นมนุษย์ผู้น่าสะพรึงและเปี่ยมล้นด้วยอำนาจ ชายผู้ที่ดวงตาสีเขียวแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอำมหิต ไร้หัวใจ เพ่งเขม็งตรงมา ดวงหน้าหยาบๆ กลับกลายเป็นมีชีวิตและเลือดเนื้อ จ้องมองอย่างอาฆาตมาดรัายอย่างไม่มีวันเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้
ฉันหวังเพียงแค่ให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปเหมือนก่อนหน้านี้ เพื่อให้ฉันสามารถจมดิ่งอยู่ในความหลับใหล ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลุมดำ ไม่ใช่ที่นี่ หรือที่ใดเลย นานเท่าเท่านาน หรืออาจเป็นชั่วกาลปาวสาน
• • •
[1] James Ensor จิตรกร-ช่างพิมพ์แนวสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) ชาวเฟลมิช
Anna Kavan หรือในชื่อเดิม Helen Emily Woods เป็นนักเขียนชาวอังกฤษ เธอเกิดและเติบโตในยุโรป แต่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่ในประเทศพม่า นวนิยายเรื่อง Ice ของเธอได้รับรางวัลไบรอัน อัลติส หนึ่งปีก่อนหน้าเธอจะเสียชีวิต เรื่อง "หมอก" ที่ทุกท่านได้อ่านจบไปแล้วนั้นเป็นหนึ่งในเรื่องสั้นจากหนังสือ Julia and the Bazooka (1970)