Becoming a Writer


‘การกลายมาเป็นนักเขียน’ ของโบฮุมิล ฮราบัล (Bohumil Hrabal) นักเขียนชาวเชคคนสำคัญถือเป็นเกร็ดเล็กๆ ที่ชกวอเร็ตสกี (Škvorecký) นักเขียนร่วมชาติของเขาได้เล่าไว้อย่างน่าสนใจ (เราสามารถอ่านได้ในบทนำของงาน The Little Town Where the Time Stood Still ที่จัดพิมพ์ควบคู่กันกับ Cutting it Short ฉบับภาษาอังกฤษ)

ชกวอเร็ตสกีเขียนถึงฮราบัลในแบบคนวงในมองคนในด้วยกันเอง ซึ่งแง่มุมนี้ไม่ค่อยปรากฏในบทความอื่นใดมากนัก โดยประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราเคยได้ยิน หรืออาจเคยทราบดีเกี่ยวกับอิทธิพลของแนวการเขียนแบบ Socialist-Realism นั้น ถูกบอกเล่าอย่างมีสีสันว่า ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวการเขียนเขียนธรรมดาๆ อย่างหนึ่ง (ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด) แต่ทว่าคือกรอบคิดและแบบแผนปฏิบัติที่นักเขียน กวี หนือศิลปินจำนวนมากเวลานั้นต้องปฏิบัติตามโดยดุษณี

ชกวอเร็ตสกีได้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางแบบ Socialist-Realism ในเชคโกสโลวะเกียได้ทำงานร่วมกันกับระบบเซ็นเซอร์อย่างแข็งขันมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 เรื่อยมา และนักเขียนในเวลานั้นถ้าไม่เป็นนักเขียนฝ่ายซ้ายตามแนวทางพรรคฯ ก็ต้องเป็นนักเขียนใต้ดินไปเลย

ทศวรรษที่ 1950-60 จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้กับระบอบ เป็นการเรียกร้องอิสรภาพและแสดงเสรีภาพนั้นแบบลับๆ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางศิลปะวัฒนธรรมของเชคโกสโลวะเกียมีสีสันและชีวิตชีวาอย่างมากในช่วงปลายของทศวรรษที่ 60 โดยฮราบัลเองถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวนี้ และอาจเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนคนแรกๆ ที่แหวกออกมาจากม่านเหล็กประเพณี Socialist-Realism เป็นผลสำเร็จ

กลุ่มวรรณกรรมใต้ดินที่ฮราบัลสังกัดนั้น นำโดย ยีชี โคเลอร์ (Jiří Kolář) กวีและนักวิจารณ์หัวก้าวหน้า (ชกอวเรตสกี้คิดว่าเขาคือฮราบัลภาคกวี) เป็นมิตรสหายผู้ที่ชี้ช่องให้ฮราบัลได้ตีพิมพ์ผลงาน ผ่านหนังสือจดหมายข่าว ที่ในเวลานั้น กองเซนเซอร์ไม่ตรวจตราเข้มงวดมากเท่าสิ่งพิมพ์อื่นๆ เพราะถือว่าเป็นเหมือนข่าวสารภายในสมาชิก และโคเลอร์คนเดียวกันนี้เองก็คือผู้ช่วยเจรจาให้ ‘ชมรมคนรักหนังสือ’ ตีพิมพ์เรื่องสั้นของเขา ที่ก็ต้องถือว่าเป็นครั้งแรกๆ ที่งานฮราบัลได้รับการอ่านโดยคนนอกกลุ่ม หรือขยายกลุ่มผู้อ่านจากใต้ดินสู่บนดิน

แน่นอนว่าถัดจากนั้นมา ฮราบัลก็ได้กลายเป็นนักเขียนคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับกองเซ็นเซอร์อย่างหนักหน่วง การต่อรองกับระบบกลายเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันมาก ซึ่งไม่ว่าเราจะเห็นฮราบัลเป็นนกสองหัวอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่อย่างไร แต่ชกอวเรตสกี้ก็เห็นว่า ฮราบัลที่ภายนอกเป็นเหมือนนักเขียนผู้ไม่ยี่หระอะไรนั้นจริงๆ ค่อนข้างอ่อนไหว และมีจุดอ่อน
การเผชิญหน้ากับคนของทางการที่เล่นบทตำรวจดีตำรวจเลว แล้วนำเอาคำสัมภาษณ์ไปตีพิมพ์ใน Tribuna สื่อกระบอกเสียงของพรรคว่า ฮราบัล ไม่เคยขัดแย้งกับระบอบ ถือเป็นตราบาปสำคัญ และทำให้เขาถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศ เพื่อแลกกับการไม่ถูกแบนผลงาน ทั้งยังพูดได้ว่า ฮราบัลเองได้เซ็นเซอร์ผลงานของตัวเองโดยตลอดเช่นกัน หลายฉากใน The Little Town Where the Time Stood Still ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้มีความเป็นวรรณกรรมของพรรคมากขึ้น เพื่อให้สหภาพนักเขียนช่วยให้เขาได้ตีพิมพ์

แม้กระนั้นภายใต้การเซ็นเซอร์ที่เข้มงวด งานของฮราบัลก็ยังถือว่ามีความสร้างสรรค์และยังคงบ่อนเซาะอำนาจอย่างต่อเนื่อง เพราะถึงแม้จะเขียนถึงเรื่องราวของชนชั้นล่าง ผู้ใช้แรงงาน แต่ก็ไม่ได้พยายามจะแสดงภาพของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน ที่สำคัญผู้ใช้แรงงานของฮราบัลสามารถพูดถึงศิลปะ ปรัชญา และวรรณกรรม ขณะเมาเบียร์อยู่ในบาร์ของกรรมกร

เจมส์ วู้ด (James Wood) นักวิจารณ์แห่ง London Review of Books มองว่า ตัวละครของฮราบัลนั้นเดินมาจากชายเสื้อคลุม ชโรสลาฟ ฮาเชค (Jaroslav Hašek) ที่ทำให้เรานึกถึงพลทหารชเวจ (Svejk) ซึ่งเมื่อผนวกกับรูปแบบการเขียนบทรำพึงภายในแบบสมัยใหม่นิยม ที่ฮราบัลนิยมอย่างงานของหลุยส์ แฟร์ดินงด์ เซลีน (Louis-Ferdinand Céline) หรือเจมส์ จอยซ์ ก็ยิ่งทำให้นวนิยายของเขามีความแปลกเด่น

ฮราบัลเรียกการเขียนบทรำพึงนี้ว่า pabeni (พล่าม/แถ) และมันก็ได้กลายเป็นเทคนิคอันทรงพลังในงานของเขาเรื่อยมา

การฉีกตัวออกมา หรือไม่ยอมเล่าในกรอบที่กำหนดนั้นว่าไปแล้วก็เป็นคุณลักษณะจำเป็นของนักเขียนหรือบรรดาศิลปิน (ทั้งในทางอุดมคติ/ความเป็นจริง) อยู่แล้ว เพราะการจะเขียนเฉพาะในแบบอย่างวิธีใดๆ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งพึงประสงค์ในโลกแห่งการสร้างสรรค์

ในแง่นี้ เราอาจพูดได้ด้วยว่า นักเขียนและศิลปินเองจะต้องมีอิสระเสรี และความสร้างสรรค์ในหลายกรณีก็เกิดจากการแหวกกรอบประเพณีที่มีอยู่ ซึ่งเมื่อเปรียบกับนักปรัชญาก็จะเห็นว่า เป็นนักแสวงหากรอบและการสร้างสรรค์ให้แก่ระบบความคิดเสียมากกว่า

หากพูดได้ว่านักปรัชญาอาจต้องการอิสรภาพในการอธิบาย เช่นเดียวกับที่สปิโนซ่ามักจะเน้นย้ำเสมอว่า ระบอบการปกครองเดียวที่สอดรับกับการคิดได้ดีที่สุดก็คือประชาธิปไตย แต่ถึงท้ายที่สุด นักปรัชญาเช่นสปิโนซ่าเองก็ไม่ได้ต้องการหลุดไปจากกรอบ หรือความคิดที่เป็นรากฐาน หรือสัจบททั้งหลาย

เช่นเดียวกันกับงาน "ความเปลี่ยวดายอันกึกก้องเกินต้าน" ของฮราบัล (แปลไทยโดย อ. วริตตา ศรีรัตนา) ที่แม้ตัวฮัญจาจะมีการกล่าวอ้างถึงนักปรัชญาอย่างคานท์ เฮเกล โชเพนเฮาเออร์ หรือนิทเช่ ซึ่งคนหลังสุดแม้จะมีความเป็นกวี หรือมีปัญหากับทั้งสามคนก่อนหน้า แต่กระนั้นก็ชัดเจนว่า ปรัชญาที่ฮัญจาประทับใจก็มีแง่มุมที่คล้ายจะเป็นไปแบบไม่เป็นไปตามตำรา (unorthodox)

ปรัชญาที่ปรากฏในเล่มดูจะเป็นเพียงอุปกรณ์และเครื่องมือช่วยให้ฮัญจาได้เปล่งเสียง หรือเรียกร้องให้ผู้อ่านตั้งใจฟังสิ่งที่เขากล่าว

ดังนั้นแล้วการเลือกเอาความตายเฉกเช่นคนอย่างโสเครติส หรือเซเนกา ที่ยอมรับโทษตายอย่างห้าวหาญ ด้วยการกระโจนลงไปในเครื่องบดอัดไฮดรอลิกนั้นจึงมีนัยสำคัญและอาจเรียกว่าเป็นการทำปรัชญาอย่างแท้จริงของฮัญจา หรือเป็นไปตามกรอบอธิบายของกามูส์ ผู้ที่ฮัญจายกให้เขาเหนือกว่าซาร์ตส์ ว่า "การฆ่าตัวตายเป็นคำถามทางปรัชญาที่สำคัญสูงสุด"

ถึงตรงนี้บที่ตอนจบ ซึ่งในนวนิยายเล่มนี้ในโลกภาษาอังกฤษนั้นจบลงด้วยการให้ฮัญจาได้ทราบชื่อของหญิงยิปซี หญิงคนแรกที่เขารัก (และถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันนาซี) ในขณะที่ฉบับแปลไทย ผมคิดว่า ได้เพิ่มเติมเหตุการณ์อีกหลายๆ อย่างเข้าไป แน่นอนครับว่า เป็นการถ่ายทอดมาจากฉบับภาษาเชคที่คนที่อ่านฉบับอังกฤษไม่มีวันได้เห็น หรืออาจไม่รู้ว่ามีอยู่

คำถามคือ มีใครรู้สึกบ้างว่า ฉบับภาษาอังกฤษนี้ฮัญจาไม่ได้ฟื้นตื่นจากความตายอีกเลย ในขณะที่ฉบับแปลไทย ฮัญจามีโอกาสที่จะไม่ตาย หรือไม่ได้ฆ่าตัวตายจริงๆ ทว่าเป็นภาพคิดของตัวเขาในสภาพเมามาย/วิปลาส

ผมเชื่อว่าผู้แปลฉบับอังกฤษคงไม่ได้ถือวิสาสะแก้ตอนจบ แต่น่าจะเป็นไปได้ว่า นวนิยายเรื่องนี้มีตอนจบในใจของฮราบัลสองแบบ (เป็นอย่างน้อย) ซึ่งไม่ว่าด้วยเหตุผลของการแก้ไขจะเป็นอย่างไร ถือว่าฉากจบนี้มีนัยสำคัญแตกต่างกันอย่างมากมายอย่างแท้จริง

Net Orders Checkout

Item Price Qty Total
Subtotal 0.00 ฿
Shipping
Total

Shipping Address

Shipping Methods